จีนจะเผชิญภาวะตกต่ำรุนแรงในปี 2555 หรือไม่

เดลินิวส์

 

ปี 2554 เป็นปีที่ไม่สดใสนักสำหรับเศรษฐกิจโลก เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและวิกฤตหนี้ในกลุ่มยูโรโซน ประกอบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นดินไหว สึนามิและวิกฤตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น และอุทกภัยครั้งใหญ่ทั้งในประเทศไทยและหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในสถานการณ์ปัจจุบัน เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วล้วนอยู่ในภาวะถดถอยหรือชะลอตัว จึงไม่สามารถเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้ ขณะที่เศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะเอเชีย ยังมีอัตราการขยายตัวอยู่ในระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจึงคาดหมายว่า เอเชียน่าจะช่วยสร้างสมดุลให้

กับเศรษฐกิจโลกสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปี 2555

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนหนึ่งกลับมองว่า เอเชียอาจไม่ใช่เครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปีนี้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่อาจเผชิญภาวะตกต่ำอย่างรุนแรง (hard landing) โดยมีสาเหตุจากปัญหาฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาหนี้เสียในธนาคาร การขาดดุลทางการค้า ตลอดจนแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ

ปัจจัยสำคัญที่ถูกอ้างถึงว่าจะทำให้เศรษฐกิจจีนตกต่ำอย่างรุนแรง คือ ปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์และหนี้เสียในภาคธนาคาร (ซึ่งเป็นหนี้ที่ปล่อยกู้ให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์) ซึ่งนักวิชาการได้ระบุว่ามีสัญญาณของฟองสบู่แตกแล้ว ในความเป็นจริง รัฐบาลจีนทราบถึงปัญหานี้แล้วและได้ออกมาตรการเพื่อควบคุมการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ อาทิ การกำหนดข้อจำกัดในการซื้ออสังหาริมทรัพย์และข้อจำกัดในการตั้งราคาซื้อขาย การกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินดาวน์ที่สูงขึ้น เป็นต้น

หากพิจารณาดัชนีราคาที่อยู่อาศัยสร้างใหม่และที่อยู่อาศัยมือสองในช่วงปี 2554 พบว่า ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยใน 70 เมืองขนาดใหญ่และขนาดกลางของจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3-4 ในช่วง 8 เดือนแรกของปีก่อน (แต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำลงเรื่อยๆ) และตัวเลขดัชนีเริ่มลดลงตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา ซึ่งตัวเลขดัชนีอาจสะท้อนว่า มีปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาวะฟองสบู่แตกเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ถึงกระนั้นการตกต่ำลงของดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์ดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เกิดแบบฉับพลันทันที ตราบที่เศรษฐกิจจีนยังสามารถขยายตัวได้ดีก็จะสามารถดูดซับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้และปัญหาหนี้เสียจะไม่รุนแรง การตกต่ำอย่างรุนแรงจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นจากปัจจัยนี้

อีกปัจจัยหนึ่งที่ถูกกล่าวถึง คือ การชะลอตัวของการส่งออก ซึ่งเป็นผลจากความถดถอยของเศรษฐกิจที่เป็นคู่ค้าสำคัญของจีน คือ สหรัฐฯและสหภาพยุโรป แต่จีนพยายามปรับโครงสร้างโดยการส่งออกไปยังเศรษฐกิจเกิดใหม่มากขึ้น โดยได้กระจายการพึ่งพาตลาดส่งออกไปยังประเทศต่างๆ อาทิ บราซิล รัสเซีย อาฟริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา ดังนั้นจีนอาจเผชิญกับสภาวะการชะลอตัวของการส่งออก แต่การชะลอตัวจะไม่รุนแรงมากนัก เพราะการส่งออกไปยังตลาดหลักที่ถดถอยลงจะได้รับการชดเชยจากการส่งออกไปยังตลาดเกิดใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น

เมื่อพิจารณาแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อในประเทศจีน เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อจะลดลงในปี 2555 สังเกตได้จากดัชนีราคาผู้บริโภคที่เคยมีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากร้อยละ 4.9 ในเดือนมกราคม 2554 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.5 ในเดือนกรกฎาคม 2554 กลับมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2554 อัตราเงินเฟ้อลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.2 เมื่อเงินเฟ้อไม่เป็นปัญหาจะทำให้รัฐบาลจีนสามารถใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่อาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในปีนี้ คือ ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกและเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ให้กับจีน รวมทั้งปัญหาการประท้วงของประชาชนในไนจีเรียหลังจากรัฐบาลยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ ถึงกระนั้นรัฐบาลจีนได้พยายามป้องกันความเสี่ยงด้านพลังงานมาโดยตลอด โดยการออกไปลงทุนในโครงการด้านพลังงานเป็นจำนวนมากในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น การลงทุนของจีนในละตินอเมริการะหว่างปี 2544-2554 เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานถึงร้อยละ 82 เป็นต้น ซึ่งโครงการลงทุนดังกล่าวน่าจะช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่จีนและช่วยลดแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นได้

จากปัจจัยต่างๆ ที่ได้กล่าวข้างต้น เศรษฐกิจจีนจะยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกต่อไปในปี 2555 แม้ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่ความตกต่ำอย่างรุนแรงอย่างที่กังวลกันนั้นจึงไม่น่าจะเกิดขึ้น

ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com