จากวอชิงตันถึงโซลจากโซลถึงเตหะราน

คอลัมน์ : ดร.แดน มองต่างแดน

เมื่อวันที่ 26-27 มีนาคม ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ (Nuclear Security Summit) ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี (ประเทศเกาหลีใต้) การประชุมนี้ริเริ่มโดยประธานาธิบดีบารัก โอบามา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 วาระสำคัญ คือ การป้องกันไม่ให้อาวุธนิวเคลียร์ตกอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย และมีการหารือเพื่อลดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่แต่ประเทศครอบครอง โดยมีผู้นำประเทศและผู้นำองค์กรระหว่างประเทศ 58 ท่านเข้าร่วมประชุม

การหารือในประเด็นอิหร่าน เห็นชัดเจนว่า ยังมีความเห็นที่แตกต่างต่อการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอิหร่าน ความสำคัญอยู่

ที่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประเทศสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) โดยเฉพาะรัสเซียกับจีน ที่มีจุดยืนต่างจากสหรัฐ คอยขัดขวางข้อมติที่ออกตามความต้องการของสหรัฐ

อีกหนึ่งกลุ่มคือ ประเทศลูกค้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของอิหร่าน ได้แก่ จีนกับอินเดีย ที่ประกาศชัดว่าจะยังคงซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านต่อไป (จีนเป็นลูกค้าอันดับ 1 รองมาคือกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ญี่ปุ่นและอินเดียตามลำดับ) ความกลัวการขาดแคลนน้ำมันนับเป็นความกังวลของหลายประเทศ

แม้ว่าเส้นทางความสำเร็จของสหรัฐ ในการหาพันธมิตรร่วมมือจัดการกับอิหร่าน ยังมองไม่เห็นความสำเร็จ แต่หากวิเคราะห์ในมิติการเมืองภายในประเทศสหรัฐ จะพบว่า การเคลื่อนไหวอย่างเอาจริงเอาจังของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ต่อกรณีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และการเล่นบทบาทผู้นำต่อต้านภัยคุกคามความมั่นคงนิวเคลียร์โลก เป็นการเรียกคะแนนเสียงจากประชาชนอเมริกัน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ต่ออีก 4 ปี

การที่โอบามานำประเด็นนี้มาใช้ในการหาเสียง เนื่องจากคนอเมริกันยังคงเรียกร้องให้รัฐบาลชัดเจนในการดำเนินนโยบายต่อต้านผู้ก่อการร้าย นับตั้งแต่เหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน ค.ศ. 2001 เป็นต้นมา

คะแนนความนิยมในตัวประธานาธิบดีสะท้อนความต้องการดังกล่าวของประชาชนอเมริกันได้เป็นอย่างดี เช่น สถิติที่น่าสนใจว่าก่อนเกิดเหตุการณ์ 11 กันยา สำนักสำรวจความคิดเห็น Gallup Poll เสนอผลโพลล์ว่า จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ประธานาธิบดีสหรัฐ ในขณะนั้น ได้รับคะแนนความนิยมให้สอบผ่านเพียงร้อยละ 51 และหลังจากสั่งทำสงครามกับผู้ก่อการร้าย คะแนนนิยมเพิ่มเป็นให้สอบผ่านร้อยละ 90 เป็นระดับคะแนนสูงสุดในขณะดำรงตำแหน่ง ซึ่งสมัยของประธานาธิบดีโอบามาก็สะท้อนภาพดังกล่าวเช่นกัน

เดิมประธานาธิบดีโอบามาได้รับคะแนนนิยมให้สอบผ่านเพียงร้อยละ 46 นับว่าเสี่ยงต่อการไม่ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย แต่เมื่อทางการสหรัฐ เผยแพร่ข่าวหน่วยรบพิเศษสหรัฐ สามารถสังหาร อุซามะฮ์ บิน ลาดิน (Osama bin Laden) คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโอบามาเพิ่มเป็นร้อยละ 57 ทันที

การวิเคราะห์ในมิติการเมืองภายในสหรัฐ จึงมีข้อสรุปว่า การประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ในครั้งนี้จึงเป็นเวทีปราศรัยหาเสียงของประธานาธิบดีบารัก โอบามา เพื่อหวังกวาดคะแนนจากชาวอเมริกันให้เป็นประธานาธิบดีอีกหนึ่งสมัย มากกว่าที่จะมุ่งตรงสอบว่าอิหร่านพัฒนาโครงการดังกล่าวเพื่อใช้ในทางสันติอย่างแท้จริงหรือไม่?

“เดิมประธานาธิบดีโอบามาได้รับคะแนนนิยมเพียงร้อยละ 46 นับว่าเสี่ยงต่อการไม่ได้รับการเลือกตั้ง…แต่เมื่อทางการสหรัฐ เผยแพร่ข่าวสังหาร อุซามะฮ์ บิน ลาดินคะแนนนิยมเพิ่มเป็นร้อยละ 57 ทันที”

?

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com