คอลัมน์ : ดร.แดน มองต่างแดน
แนวโน้มคนไทยอาจต้องแบกรับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นอีก แม้จะเริ่มปรับราคาแล้วตั้งแต่ช่วงปีใหม่ตามความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก อันเป็นผลจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้น หลังจากที่สหรัฐและชาติพันธมิตรประกาศมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งล่าสุด เพื่อตอบโต้ที่อิหร่านไม่ยอมยกเลิกโครงการพัฒนานิวเคลียร์
สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ได้เริ่มโครงการพัฒนานิวเคลียร์มานานนับสิบปีแล้ว และในปี 2549 สหรัฐได้เปิดประเด็นว่า
อิหร่านลักลอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย ในขณะที่อิหร่านได้ปฏิเสธและแสดงจุดยืนว่า การพัฒนานิวเคลียร์ของตนเป็นไปเพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าหรือประโยชน์ในทางสันติและเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้
แต่สหรัฐกับพันธมิตรประเทศตะวันตกไม่เชื่อและยืนยันอย่างแข็งกร้าวให้อิหร่านยุติโครงการ เพราะคิดว่าหากอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์จะเป็นภัยคุกคามต่อชาติตะวันตกกับอิสราเอล และเกรงว่าอาวุธดังกล่าวจะไปอยู่ในมือของพวกผู้ก่อการร้าย
ในที่สุด 23 ธันวาคม พ.ศ.2549 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้คว่ำบาตรต่ออิหร่าน ถึงกระนั้นอิหร่านยังคงเดินหน้าโครงการพัฒนานิวเคลียร์ โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากนานาชาติ ทำให้อิหร่านถูกคว่ำบาตรจากสหประชาชาติถึง 4 ครั้งนับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา แต่โครงการพัฒนานิวเคลียร์กลับมีความคืบหน้าต่อไปเรื่อยๆ จนถึงสมัยของประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ มาห์มูด อาห์มาดิเนจัด (Mahmoud Ahmadinejad)
เหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับอิหร่านในรอบนี้ มีจุดเริ่มต้นจากรายงานเมื่อเดือนพฤศจิกายนเมื่อปีที่แล้วของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ได้เสนอรายงานว่า มีเหตุเชื่อได้ว่าอิหร่านกำลังพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ (nuclear explosive device) ทำให้เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้ลงนามกฎหมายคว่ำบาตรอิหร่านฉบับใหม่ สาระสำคัญคือ ประเทศใดที่ทำธุรกรรมทางการเงินกับอิหร่าน ประเทศนั้นอาจถูกสหรัฐกีดกันด้วยข้อจำกัดต่างๆ ประเทศทั้งหลายจึงต้องเลือกว่าจะทำการค้ากับอิหร่านหรือกับสหรัฐ
กฎหมายนี้ส่งผลกระทบต่อการขายน้ำมันของอิหร่าน ซึ่งเป็นที่มาของรายได้กว่าร้อยละ 60 ของประเทศ และส่งผลให้ค่าเงินริอัล (Rial) ของอิหร่านตกฮวบจาก 10,500 ริอัลต่อ 1 ดอลลาร์ เป็น 18,000 ริอัลต่อ 1 ดอลลาร์ ก่อนแข็งค่าขึ้นเมื่อธนาคารกลางอิหร่านเข้าแทรกแซง ค่าเงินริอัลที่อ่อนตัวมากทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูง กระทบต่อราคาสินค้าภายในประเทศอิหร่าน
ดังนั้น หากอิหร่านถูกคว่ำบาตรอย่างจริงจัง จะเป็นการบีบให้อิหร่านต้องเข้าหาจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่สุดของอิหร่าน โดยเสนอให้จีนซื้อน้ำมันอิหร่านเพิ่มขึ้นในราคามิตรภาพ อิหร่านจะดำเนินนโยบายพึ่งพาจีนมากขึ้น จีนจะเป็นที่พึ่งของอิหร่านทั้งทางด้านความมั่นคง การเมืองระหว่างประเทศและเศรษฐกิจ ขอเพียงจีนยื่นมือให้ความช่วยเหลือเท่านั้น
รัฐบาลสหรัฐเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงได้ส่งนายทิโมที ไกธ์เนอร์ (Timothy Geithner) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังไปจีน (และญี่ปุ่น) เพื่อหารือขอความร่วมมือคว่ำบาตรอิหร่านตามแผนการของสหรัฐ
จีนจึงอยู่ในภาวะเนื้อหอมที่ทั้งอิหร่านกับสหรัฐ จะต้องมาเอาอกเอาใจเสนอผลประโยชน์ให้ จีนจึงได้ผลประโยชน์จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือได้จากทั้งสองฝ่าย ซึ่งแม้สหรัฐจะมองจีนเป็นคู่แข่งสำคัญ เป็นภัยคุกคาม แต่จำต้องตัดใจขอความร่วมมือจากจีน
เป้าหมายการคว่ำบาตรอีกประการหนึ่งที่สหรัฐกับพันธมิตรกระทำต่ออิหร่าน หากมองลึกลงไปคงหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในประเทศอิหร่าน ทำให้ประธานาธิบดีมาห์มูด อาห์มาดิเนจัด ไม่เป็นที่นิยมของประชาชน เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจภายในประเทศมีปัญหา ราคาสินค้าอาหารหลักปรับตัวสูงขึ้นมาก ชาวอิหร่านบางส่วนวิจารณ์ตำหนิการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีอาห์มาดิเนจัด ที่โดดเดี่ยวประเทศตนเองว่าเป็นต้นเหตุทำให้สินค้าราคาแพง
สหรัฐอาจคาดหวังว่าการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา (Parliamentary elections) จำนวน 290 ตำแหน่งในวันที่ 2 มีนาคมนี้ จะเป็นเหตุให้อำนาจของประธานาธิบดีถูกสั่นคลอนและจำต้องยกเลิกหรือชะลอโครงการนิวเคลียร์ คู่แข่งของประธานาธิบดีอาห์มาดิเนจัด สามารถใช้จังหวะนี้บั่นทอนความนิยมของประธานาธิบดี และอาจสามารถยึดครองที่นั่งในรัฐสภามากขึ้น ผ่านการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกดังกล่าว คู่แข่งหรือฝ่ายตรงข้ามกับประธานาธิบดีอิหร่านจึงเป็นอีกฝ่ายที่ได้ประโยชน์ ด้วยความเห็นชอบจากฝั่งสหรัฐ
นอกจากนี้ อีกประเทศหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากการคว่ำบาตรรอบนี้อย่างเต็มที่คือ ประเทศอิสราเอล เพราะไม่ต้องออกโรงใช้กำลังหยุดโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน อย่างที่เคยส่งเครื่องบินรบไปทำลายเตาปฏิกรณ์ปรมาณูของอิรักเมื่อปี 2524 ด้วยเหตุผลเดียวกันกับอิหร่านในขณะนี้
แท้จริงแล้ว การใช้กำลังจัดการอิหร่านทำได้ไม่ยากในทางยุทธวิธี แต่ยากในการจัดการกับผลทางการเมืองระหว่างประเทศและอุปทานน้ำมันที่จะตามมา เพราะการใช้กำลังจะขยายความขัดแย้ง กระตุ้นการต่อต้านอิสราเอล ต่อต้านชาติตะวันตกในหมู่ประเทศตะวันออกกลางมากขึ้น อาจส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่เป็นมิตรต่อตะวันตก และจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นกระทบต่อเศรษฐกิจนานาประเทศทันที
ดังนั้น เพื่อรักษาผลประโยชน์ รักษาเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลางนี้ ทุกชาติควรร่วมมือกันเพื่อให้เรื่องยุติ (หรืออย่างน้อยสงบลงชั่วคราว) อย่างนิ่มนวลที่สุด โดยวิธีนี้ทุกประเทศจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน
“หากอิหร่านถูกคว่ำบาตรอย่างจริงจัง จะเป็นการบีบให้อิหร่านต้องเข้าหาจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่สุดของอิหร่าน”
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com