“ไวรัสซิกา” ไม่ตระหนก แต่ต้องตั้ง WAR ROOM ทุกหน่วยงาน “เอาให้อยู่”

แม้ไวรัสซิกามีมานาน ซึ่งในอดีตเราไม่ทราบและไม่เห็นข่าว 
แต่วันนี้เราทราบข้อมูลจากกรมควบคุมโรคซึ่งระบุว่าดัชนีลูกน้ำยุงลายซึ่งเป็นพาหะของไวรัสซิกาสูงขึ้นเกือบ 3 เท่า และมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากขณะนี้ยังไม่ผ่านพ้นฤดูฝน 
ที่ผ่านมาไวรัสซิกาแพร่ระบาดในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จันทบุรี บึงกาฬ เชียงใหม่ จนต้องมีการควบคุมในระดับสีแดง และนอกจากนั้นในกรุงเทพฯ ยังพบผู้ติดไวรัสซิกาถึง 22 ราย 

ซึ่ง 1 ในนั้นมีหญิงตั้งครรภ์ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย ทั้งๆ ที่ทุกปี ประเทศไทยพบผู้ป่วยจากไวรัสซิกาไม่เกิน 5 ราย 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ภาครัฐจะทำงานอย่างบูรณาการตั้งแต่ระดับประเทศไปจนถึงระดับท้องถิ่นให้เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรค 
แต่หากมีพื้นที่ “บางส่วน” ไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดขึ้น สถานการณ์อาจแย่ลงได้ เพราะไวรัสซิการะบาดได้ทุกที่ที่มียุง !!!
ที่ผ่านมาการป้องกันปัญหาของภาครัฐยังให้ผลไม่ดีเพียงพอ สังเกตได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งๆ ที่มีการเฝ้าระวังทุกปี  

ดังนั้นความคิดเห็นของผมต่อกรณีนี้ คือ…
“ภาครัฐ” 
ควรลงลึกในการบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ทั้งภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อตั้ง WAR ROOM 
โดยมีระบบตรวจสอบ
และตัวชี้วัดที่ชัดเจนในการประชาสัมพันธ์ และปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ มากที่สุด 
เพื่อให้ได้ผลรวดเร็ว เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 

ขณะเดียวกัน “ภาคประชาชน” และ “ภาคเอกชน” 
ควรมีเครื่องมือ หรือช่องทางการทำงานจริงที่เป็นรูปธรรม
สามารถ สอดรับ และ สอดคล้อง กับมาตรการของภาครัฐด้วย 
เพื่อให้การป้องกันแก้ไขปัญหาบรรลุผลได้อย่างรวดเร็วและเข้มแข็ง เช่น บริษัท มูลนิธิ 
รวมถึง NGO ต่างๆ ควรมีส่วนในการปฏิบัติตาม และรณรงค์มาตรการต่างๆ ของ “ภาครัฐ” อย่างเป็นรูปธรรมด้วย เช่น 
รณรงค์ระหว่างลงพื้นที่ชุมชนระหว่างทำงาน หรือรณรงค์ทางสื่อ Social Media ซึ่งภาครัฐมักทำได้ไม่ทั่วถึง  

สุดท้ายหากเรายัง “เอาไม่อยู่” 
หน่วยงานเหล่านี้ก็ควรเป็นหน่วยงานแรกๆ ที่ต้องแสดงความเข้มแข็งต่อการทำหน้าที่ให้มาก
เช่น 
ทุ่มเทเวลาในการทำงานแก้ไขปัญหาทุกวัน โดยไม่มีวันหยุดจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น 

ด้วยเหตุผลส่วนตัว ผมเชื่อว่าทุกฝ่ายจะสามารถควบคุมสถานการณ์นี้อยู่
แต่ก็อดกังวลไม่ได้ว่า หากเรายังชะล่าใจต่อปัญหา ความสูญเสียที่ตามมาจะรุนแรงมากเพียงใด 
ดังนั้นทุกภาคส่วนควร “เอาจริง” ในการต่อสู้
ซึ่งโจทย์ต่อไปของภาครัฐก็คือ จะทำอย่างไรให้ภาคเอกชน และภาคประชาชน  “เอาจริง” จนลุกขึ้นมาร่วมมือกับภาครัฐได้ 
ซึ่งหากทำสำเร็จ ปัญหานี้ผมคิดว่าเรา “เอาอยู่” แน่ครั

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *