คอลัมภ์ : การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
ทิศทางการปฏิรูปประเทศสามารถแบ่งออกได้ 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจมั่งคั่งและยั่งยืน สังคมหลากหลายและสมานฉันท์ และการเมืองมีเสรีภาพและเสถียรภาพ เมื่อวันพฤหัสที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา สถาบันวิทยาการตลาดทุน ได้จัดการเสวนาพิเศษ ในหัวข้อ “จุดเปลี่ยนประเทศไทย : ยุทธศาสตร์การปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมเพื่อก้าวข้ามวิกฤติการเมืองไทย” โดยมีตัวแทนนักศึกษาหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงของสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) ทั้ง 10 รุ่น ได้มาร่วมแสดงความคิดเห็น โดยมีผมซึ่งเป็นสมาชิก วตท.รุ่นที่ 10 เป็นผู้ดำเนินรายการในการเสวนาดังกล่าว
ผมเห็นว่าสิ่งที่ได้พูดคุยกันในการเสวนาครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และเป็นคุณูปการต่อประเทศอย่างยิ่ง
ในการช่วยเปลี่ยนประเทศไทย ให้สามารถก้าวข้ามปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ผมจึงอยากมีโอกาสได้สรุปความคิดเห็นของท่านผู้เข้าร่วมเสวนาทั้ง 10 ท่านไว้ในบทความนี้
จากการเสวนาในวันนั้น หากจัดหมวดหมู่ความคิดข้อเสนอแนะของท่านวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านตามกรอบความคิดของผมแล้ว ทิศทางการปฏิรูปประเทศสามารถแบ่งออกได้ 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจมั่งคั่งและยั่งยืน สังคมหลากหลายและสมานฉันท์ และการเมืองมีเสรีภาพและเสถียรภาพ?
เศรษฐกิจมั่งคั่งและยั่งยืน
ในการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจนั้น สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำ คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของภาคธุรกิจไทย โดยมีการกำหนดอุตสาหกรรมดาวเด่นที่ชัดเจน ในการนี้มีสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป เพื่อรองรับและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นั่นคือ การพัฒนาตลาดทุนให้น่าสนใจ มีการลงทุนในเมกะโปรเจคเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังควรมีการจัดตั้งศูนย์นักลงทุนสัมพันธ์ในระดับชาติโดยภาครัฐ เพื่อดูแลนักลงทุนต่างชาติ เป็นศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจทั้งหมด และทำหน้าที่เชิงรุกในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ แทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเอกชน เป็นต้น
อีกด้านหนึ่งเพื่อให้เศรษฐกิจมีความยั่งยืน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจลดลง ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูปภาษี มีการจัดเก็บภาษีบางอย่างเพิ่มเติมเพื่อให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น การพิจารณาเก็บภาษีกำไรจากการขายทรัพย์สิน (Capital Gain Tax) ในเวลาที่เหมาะสม เป็นต้น รวมทั้งใช้งบประมาณอย่างเจาะจงมากขึ้น แทนการหว่านถึงคนทุกกลุ่ม เช่น การแจกเบี้ยคนชรา 500 บาท หรือการเรียนฟรี ซึ่งคนรวยและคนจนได้เท่ากัน นอกจากนี้ ยังควรกระจายความเจริญไปยังต่างจังหวัด โดยใช้มาตรการจูงใจ เช่น การให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่บริษัทที่ไปตั้งสำนักงานใหญ่ในต่างจังหวัด เป็นต้น อีกทั้งควรทำให้คนจนเข้าถึงทุนได้มากขึ้น และมีค่าจ้างขั้นต่ำที่สูงขึ้นด้วย ที่สำคัญ คือ การสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อสังคม (Social Entrepreneur หรือ Social Profit Organization) ให้มีบทบาทมากขึ้น ในระบบเศรษฐกิจของไทย เป็นต้น
สังคมหลากหลายและสมานฉันท์?
การสนับสนุนความหลากหลายทางสังคม อาจทำได้โดยการที่รัฐให้เสรีภาพแก่สื่อ ไม่ปิดกั้นสื่อ ซึ่งสื่อเองต้องมีความรับผิดชอบในการนำเสนอข่าวสารความจริงทุกด้านไม่บิดเบือนเช่นกัน นอกจากนี้ ที่สำคัญ การศึกษาต้องได้รับการปฏิรูป เพื่อจะสามารถสร้างคนที่คิดเป็น คิดเก่ง รู้หน้าที่ มีจริยธรรมและมีความเข้าใจหลักการประชาธิปไตย มีใจกว้างยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้
ในขณะเดียวกัน สิ่งที่จะช่วยสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นได้ คือ หน่วยงานที่ใช้อำนาจต้องมีนิติรัฐ นิติธรรม มีกฎหมายเป็นหลักในปกครองประเทศ กฎหมายต้องออกโดยกระบวนที่ทุกคนยอมรับ และการบังคับใช้กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ เสมอภาค มีมาตรฐานเดียว ไม่มีการเลือกปฏิบัติ และไม่ใช้กำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ นอกจากนี้ ทุกฝ่ายยังควรยกเลิกการใช้คำพูดที่รุนแรง หรือวาทกรรมที่สร้างความแตกแยก เช่น การเรียกบางกลุ่มว่าผู้ก่อการร้าย โดยยังไม่มีการพิสูจน์ เป็นต้น นอกจากนี้ การที่ภาครัฐสร้างโอกาสที่เท่าเทียมในการที่คนจะเลื่อนชนชั้นทางสังคมและเข้าถึงทรัพยากรนั้นก็มีส่วนสำคัญในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมด้วย
การเมืองมีเสรีภาพและเสถียรภาพ
เสรีภาพทางการเมืองจะเกิดขึ้นหากคนมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยมากขึ้น มีองค์กรภาคประชาสังคมที่ตื่นตัว ซึ่งช่วยให้ประชาสังคมทำหน้าที่ดีขึ้น และการเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งขึ้น โดยที่รัฐเองต้องเปิดโอกาสและสนับสนุนภาคประชาชน ในการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเต็มที่
สำหรับการสร้างการเมืองที่มีเสถียรภาพนั้น จำเป็นต้องมีการปฏิรูปนักการเมืองและระบบการได้มาซึ่งนักการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชน ข้อเสนอหนึ่งที่อาจช่วยได้ คือ การให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมแก่นักการเมือง เพื่อให้ได้นักการเมืองที่มีความรู้ความสามารถ และลดแรงจูงใจในการคอร์รัปชันลง ส่วนเรื่องการคอร์รัปชันนั้นต้องได้รับการปราบปรามอย่างจริงจังด้วย นอกจากข้อเสนอเหล่านี้แล้ว เรื่องการใช้เวทีรัฐสภาเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาตามระบบประชาธิปไตยยังเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่แค่เพียงเป็นเวทีสำหรับการหาเสียง หรือที่โต้แย้งกันของนักการเมืองเท่านั้น
โดยสรุปแล้วประเทศไทยจะก้าวข้ามวิกฤติที่เกิดขึ้นได้นั้นจำเป็นต้องเปลี่ยน และการเปลี่ยนต้องครบวงจร คือ การเปลี่ยนคน เปลี่ยนระบบ และเปลี่ยนบริบท เศรษฐกิจและสังคมไทย จึงจะได้รับการปฏิรูปอย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งนี้ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยปราศจากการร่วมแรงร่วมใจและการลงมืออย่างจริงจังรีบเร่งของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
?
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com