
คอลัมน์ : การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
ตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 มีสื่อจำนวนมากทั้งในไทยและต่างประเทศได้สอบถามความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจไทยภายหลังการเลือกตั้งว่าจะเป็นอย่างไร ประเด็นสำคัญที่ผมถูกถามบ่อยครั้ง คือ รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร
โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นนโยบายระยะสั้น เน้นสร้างคะแนนนิยมกับกลุ่มคนรากหญ้า หลายนโยบายเป็นเรื่องเล็ก กระจัดกระจาย ไม่มีทิศทางที่ชัดเจนในระยะยาว นโยบายส่วนใหญ่ไม่ใช่
นโยบายในเชิงการปฏิรูปหรือสร้างการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในระยะยาว และที่สำคัญ รัฐบาลยังบริหารจัดการหรือแก้ปัญหาด้วยเครื่องมือเดิมๆ โดยเฉพาะการแทรกแซงกลไกตลาด เช่น การตรึงราคาน้ำมันดีเซล การควบคุมราคาสินค้า การรีไฟแนนซ์หนี้นอกระบบ การลดภาษีและให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเงินกู้ซื้อบ้าน การขยายจำนวนผู้ที่ได้รับเบี้ยคนชรา เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศ สร้างการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เป็นนโยบายที่มียุทธศาสตร์ และให้ความสำคัญกับประเด็นระยะยาว ซึ่ง แนวทางที่ผมอยากเสนอ คือ “2 เพิ่ม 2 แก้ และ 2 ยุทธศาสตร์”
เพิ่มที่ 1 คือ เพิ่มรายได้ให้ประชาชนและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
20 ปีที่ผ่านมา การกระจายรายได้ของคนไทยแทบไม่ดีขึ้นเลย รายได้ประชากรกลุ่มที่รวยที่สุดคิดเป็นสัดส่วนสูงกว่ารายได้ประชากรที่จนที่สุด 11.88 เท่า ในปี พ.ศ. 2531 ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 11.31 เท่าในปี พ.ศ. 2552?
แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามจะผลักดันหลายนโยบายเพื่อการแก้ไขปัญหานี้ แต่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการในภาคปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การปฏิรูปโครงสร้างภาษีให้เกิดความเป็นธรรม การเก็บภาษีที่ดิน และการกระจายการถือครองที่ดินให้ประชาชน เป็นต้น ดังนั้น รัฐบาลใหม่ควรผลักดันเรื่องนี้และสานต่อนโยบายเหล่านี้อย่างจริงจัง?
เพิ่มที่ 2 คือ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน?
จากการจัดอันดับของ WEF และ IMD ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากงบประมาณสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาต่ำมากประมาณร้อยละ 0.25-0.3 ของจีดีพีเท่านั้น นักวิจัยมีจำนวนน้อย รวมทั้งการที่การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยยังไม่เข้มงวดนัก ผู้ผลิตผลงานไม่ได้รับการคุ้มครองเท่าที่ควร ทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนานวัตกรรมและผลงานใหม่ๆ เป็นต้น
รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา และการสร้างนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มงบประมาณในส่วนของวิจัยและพัฒนาต่อจีดีพีให้มากขึ้น การสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนทำวิจัยและพัฒนามากขึ้น ไม่ว่าจะโดยการให้แรงจูงใจด้านภาษีหรือการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ รวมทั้งการเพิ่มบุคลากรด้านวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้น และการสร้างเมกะโปรเจคด้านวิจัยและพัฒนา เป็นต้น ?
แก้ที่ 1 คือ แก้ไขปัญหาการคอร์รัปชัน
ปัจจุบันมีข้อมูลจากภาคธุรกิจว่า นักธุรกิจต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้นักการเมืองสูงถึงร้อยละ 30-40 และต้องจ่ายให้ข้าราชการร้อยละ 10-20 ทำให้มีงบประมาณที่หายไปจากการจัดซื้อจัดจ้างรั่วไหลสูงถึงกว่า 2 แสนล้านบาทในแต่ละปี?
การคอร์รัปชันทำให้ธุรกิจไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าและให้บริการ ทำให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณะที่ไม่มีคุณภาพ ประเทศเสียโอกาสในการพัฒนาจากงบประมาณที่รั่วไหล นักลงทุนต่างชาติมีอุปสรรคในการเข้ามาลงทุนในไทย เป็นต้น
แม้เอกชนไทยจะหันมาจริงจังในเรื่องนี้ แต่ว่าความพยายามจะไม่ได้ผลหากภาครัฐและราชการไม่ร่วมมือ ผมเคยเสนอให้มีการขึ้นเงินเดือนให้ ส.ส. ส.ว. และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประกอบกับสร้างกลไกการแข่งขันมากขึ้น โดยเป็นการแข่งขันที่เสมอภาคและไม่ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินของผู้อาสาตัวเข้ามาทำงานการเมือง เพื่อให้คนเก่งสามารถเข้าสู่ตำแหน่งได้มากขึ้น ที่สำคัญ ต้องเพิ่มโทษการคอร์รัปชันและการทุจริตให้รุนแรงขึ้น คดีทุจริตของนักการเมืองนั้นต้องไม่มีอายุความ เป็นต้น ปัจจุบันมีการขึ้นเงินเดือนให้ ส.ส. ส.ว. ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่กลไกการแข่งขันและการตรวจสอบต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง?
แก้ที่ 2 คือ แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการพัฒนาฝีมือ
แรงงานไทยมีปัญหาทั้งปริมาณและคุณภาพ แรงงานระดับล่างขาดแคลนขั้นวิกฤติ แรงงานระดับสูง (ระดับปริญญาตรีขึ้นไป) มีปัญหาว่างงานสูง เนื่องจากเรียนไม่ตรงสายและไม่มีคุณภาพ?
สำนักข่าวรอยเตอร์เคยวิเคราะห์เอาไว้ว่าระบบการศึกษาของไทยนั้นไม่เอื้อต่อการก้าวไปข้างหน้าของประเทศ แรงงานที่มีความสามารถสูง ทักษะสูง พูดภาษาอังกฤษได้นั้นหายากในประเทศไทยเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ ไต้หวันและจีน ซึ่งจะเป็นเหตุให้ประเทศไทยหมดความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติในที่สุด?
ดังนั้น รัฐบาลใหม่ต้องวางแผนการใช้กำลังคนของประเทศ ปรับทิศทางอุตสาหกรรมให้ใช้แรงงานระดับสูงเพิ่มขึ้นและลดการใช้แรงงานระดับล่างลง ควรมีการกำหนดเป้าหมายการเพิ่มผลิตภาพของแรงงานอย่างจริงจัง ไม่ใช่เน้นเพียงเรื่องการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือค่าจ้างซึ่งเป็นเรื่องปลายเหตุเท่านั้น?
ยุทธศาสตร์ที่ 1 คือ ยุทธศาสตร์สำหรับการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ AEC
ไทยกำลังเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (AEC) ในปี 2015 โดยประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นข้อตกลงที่ครอบคลุมทุกภาคการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการค้าสินค้าและบริการ รวมทั้งการลงทุนและการเคลื่อนย้ายแรงงาน
ไทยจะได้ประโยชน์จากการ AEC โดยผู้ผลิตจะมีตลาดและฐานการผลิตที่ใหญ่ขึ้น ผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าบริการราคาถูกลง ช่วยดึงดูดการค้าการลงทุนจากนอกภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ผลกระทบด้านลบ คือ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากคู่แข่งขันในอาเซียน และประเทศอื่นที่ทำ FTA กับอาเซียน การย้ายฐานการผลิตไปสู่ประเทศอื่นในภูมิภาค การแย่งทรัพยากรและแรงงานมีฝีมือทำให้ต้นทุนบางด้านเพิ่มสูงขึ้น สินค้าบางประเภทมีราคาสูงขึ้น เพราะส่งออกได้มากขึ้นทำให้อุปทานในประเทศลดลง เป็นต้น?
ปัจจุบันความตระหนักถึงการเข้าเป็น AEC ของคนไทยยังน้อย ภาครัฐต้องเดินหน้าให้ความรู้แก่ประชาชน สนับสนุนผู้ประกอบการให้ปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะมีมากขึ้น ปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมหลักสูตรการศึกษา เพื่อสร้างเด็กและเยาวชนในอนาคตให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษาต่างประเทศหรือวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น?
ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ ยุทธศาสตร์ทางการค้าที่ชัดเจนสำหรับทศวรรษหน้า? ?
เวลานี้ไทยมีบทบาทในเวทีโลกค่อนข้างน้อย เนื่องจากที่ผ่านมา เราไม่ได้ดำเนินนโยบายอย่างมียุทธศาสตร์โดยเฉพาะในเรื่องต่างประเทศ?
ในอนาคตผมคิดว่าในเชิงยุทธศาสตร์แล้ว ไทยต้องแทรกตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ BRICSA ซึ่งหมายถึงประเทศในกลุ่มอาเซียน (ASEAN-A) ต้องเข้าไปจับมือกับประเทศในกลุ่ม BRICS ที่ประกอบด้วย การรวมกันของ 5 ประเทศ คือ บราซิล (B) รัสเซีย (R) อินเดีย (I) จีน (C) และแอฟริกาใต้ (S) ซึ่งเข้ามาเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการล่าสุดของกลุ่ม
ผมเสนอให้นำอาเซียนเข้าไปผนวกกับ BRICS เนื่องจากลำพังประเทศไทยมีความน่าสนใจน้อย ไม่ดึงดูดให้กลุ่มประเทศ BRICS มาร่วมด้วย ประกอบกับการที่อินโดนีเซียพยายามจะสอดแทรกตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ BRICS เพื่อจะเป็น BRICSI (I = Indonesia) ดังนั้น ไทยควรผลักดันอาเซียนเข้าไปร่วมกับ BRICS เพื่อไม่ให้บทบาทและภาพลักษณ์ของอินโดนีเซียทิ้งห่างประเทศไทยในการเป็นผู้นำของอาเซียนมากกว่านี้ ?
เวลานี้ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว โฉมหน้าของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เริ่มปรากฏให้ประชาชนเห็นเป็นเค้าลางแล้ว รัฐบาลควรเร่งรีบในการทำงานเพื่อไม่ให้การพัฒนาของไทยล่าช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านของเราไปมากกว่านี้ ความท้าทายของรัฐบาลใหม่ คือ จะทำอย่างไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ทำให้เกิดการปฏิรูปประเทศในหลายด้านอย่างเร่งด่วน จริงจัง และต่อเนื่อง ไม่ให้เป็นเหมือนดังในอดีตที่ผ่านมา
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com