ไทยควรเป็นกลางแบบไทย ไม่เหมือนสวิตเซอร์แลนด์

โลกกำลังก้าวเข้าสู่สภาวะ “แบ่งขั้ว” ที่ชัดเจน ระหว่างมหาอำนาจตะวันตก นำโดยสหรัฐฯ กับพันธมิตร และมหาอำนาจตะวันออกอย่างจีน รัสเซีย และกลุ่ม BRICS+ การเผชิญหน้าขยายวงกว้างขึ้น ตั้งแต่การค้า เทคโนโลยี ไปจนถึงสงครามข้อมูลข่าวสาร ประเทศขนาดเล็กและขนาดกลางจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกกดดันให้ “เลือกข้าง”

ประเทศเล็กใจกลางยุโรปอย่างสวิตเซอร์แลนด์ มักถูกยกเป็นต้นแบบการรักษาสถานะความเป็นกลางถาวร (permanent neutrality) ที่ไม่เข้าร่วมสงครามและความขัดแย้งใด ๆ  ขณะที่ไทย ในฐานะศูนย์กลางโดยภูมิศาสตร์ของอาเซียน เชื่อมโยงสองมหาสมุทร เป็นทั้งเส้นทางเศรษฐกิจสำคัญและแหล่งท่องเที่ยวของโลก ย่อมตกอยู่ในสายตาของมหาอำนาจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของไทยคือ จะรักษาสถานะความเป็นกลางของตนอย่างไรให้เหมาะสมกับโลกที่กำลังแบ่งขั้วอย่างรุนแรงเช่นนี้?

  1. ความเป็นกลางคืออะไร?

          1.1 ความเป็นกลางของรัฐ (Neutrality) [1] หมายถึง การไม่เข้าร่วมและไม่แทรกแซงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งหรือสงครามระหว่างรัฐ คำว่า neutral มาจากภาษาละตินคำว่า ne (ไม่) รวมกับคำว่า uter (ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง) จึงมีความหมายตรงตัวว่า “ไม่เลือกข้าง” หรือ “ไม่เข้าข้างฝ่ายใด”

1.2 องค์ประกอบของความเป็นกลาง สถานะความเป็นกลางของประเทศหนึ่ง ๆ ถูกกำหนดจากองค์ประกอบ 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) กฎหมายความเป็นกลาง (law of neutrality) 2) นโยบายความเป็นกลาง (policy of neutrality) และ 3) ประวัติศาสตร์และประเพณี (history and traditions)

1.3 ประเภทของความเป็นกลาง

ความเป็นกลางแบ่งได้หลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น [2]

…ความเป็นกลางถาวร (Permanent Neutrality) ถูกรับรองจากประชาคมโลก เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ค.ศ. 1815

…ความเป็นกลางพร้อมอาวุธ (Armed Neutrality) คือประเทศวางตัวเป็นกลาง แต่ไม่ได้ถูกรับรองอย่างเป็นทางการ มีการสร้างกองทัพที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันตนเอง หากถูกรุกราน เช่น สวิตเซอร์แลนด์ และสวีเดนในช่วงสงครามเย็น

…ความเป็นกลางเชิงรุก (Proactive Neutrality) ใช้บทบาทการทูตเป็นตัวกลางเจรจา ไกล่เกลี่ย และสร้างสถาบันระหว่างประเทศ เช่น ฟินแลนด์หลังสงครามเย็น ใช้บทบาท “สะพานเชื่อม” ระหว่างตะวันตก–ตะวันออก

…ความเป็นกลางรายประเด็น (Selective / Issue-based Neutrality) เป็นกลางในด้านการทหาร แต่เปิดกว้างในด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี หรือความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น สิงคโปร์เลือกที่จะไม่เข้าร่วมพันธมิตรทางทหารโดยตรง อย่าง SEATO หรือ NATO แต่เข้าร่วม ASEAN และขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement: NAM) รวมทั้ง Five Power Defence Arrangements (FPDA) ที่มีลักษณะเป็นความร่วมมือทางการป้องกันอย่างไม่ผูกพัน

อย่างไรก็ตาม แม้ความเป็นกลางจะมีหลายรูปแบบ แต่การนำไปใช้จริงขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศ ซึ่งทำให้สถานะความเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์และไทยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

  1. สถานะความเป็นกลางแบบไทยและแบบสวิตฯ ต่างกันอย่างไร?

          หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับบริบทของไทยและสวิตฯ จะพบว่าฐานะความเป็นกลางของไทยและสวิตฯ แตกต่างกันด้วยประเด็นดังต่อไปนี้

2.1 สถานะความเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์

หากย้อนกลับไปพิจารณาจากประวัติศาสตร์จะเห็นว่า สวิตฯ ได้รับการรับรองสถานะ “ความเป็นกลางถาวร” (permanent neutrality) [3] อย่างเป็นทางการตั้งแต่การประชุมสภาคองเกรสแห่งเวียนนา ค.ศ. 1815 โดยมหาอำนาจยุโรปห้าประเทศ ประกอบด้วย รัสเซีย อังกฤษ ปรัสเซีย ออสเตรีย และฝรั่งเศส ต่างเห็นว่า หากสวิตฯ เป็นกลาง จะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของยุโรปโดยรวม จึงลงนามในสนธิสัญญาปารีส รับรองสถานะดังกล่าวและค้ำประกันว่าดินแดนสวิตฯ จะไม่ถูกละเมิดอธิปไตย ต่อมา หลักการนี้ถูกทำให้เป็นกฎหมายสากลในอนุสัญญาเฮก ค.ศ. 1907 ว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของรัฐที่เป็นกลางในยามสงคราม ซึ่งสวิตฯ ให้สัตยาบันในปี 1910 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน

2.2 สถานะความเป็นกลางของไทย ตรงกันข้ามกับสวิตฯ ไทยไม่เคยได้รับการรับรองสถานะ “ความเป็นกลางถาวร” จากประชาคมโลก และไม่มีฐานะทางกฎหมายระหว่างประเทศรองรับสถานะเช่นนั้น อีกทั้งมหาอำนาจก็ไม่ได้เห็นประโยชน์จากการที่ไทยจะเป็นกลาง ต่างจากกรณีสวิตฯ ที่มหาอำนาจยุโรปต่างสนับสนุนให้เป็นกลางเพื่อค้ำจุนสมดุลภูมิรัฐศาสตร์ของทวีป ในทางกลับกัน มหาอำนาจกลับพยายามกดดันให้ไทย “เลือกข้างอย่างชัดเจน” เพื่อเสริมความได้เปรียบของตนเองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หากพิจารณาประวัติศาสตร์การต่างประเทศของไทย จะเห็นได้ชัดว่าไทยไม่ได้ดำเนินยุทธศาสตร์ความเป็นกลาง “แบบถาวร” แต่ใช้ยุทธศาสตร์ความเป็นกลางเชิง “ถ่วงดุล” (balancing strategy) เพื่อรักษาเอกราชและผลประโยชน์แห่งชาติในแต่ละช่วงเวลา ตัวอย่างเช่น

…วิกฤต ร.ศ. 112 สมัยรัชกาลที่ 5[4] สยามจำต้องยอมสละดินแดนฝั่งซ้ายบางส่วนของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส[5] เพื่อแลกกับการคงไว้ซึ่งเอกราชและหลีกเลี่ยงการตกเป็นอาณานิคมทั้งหมด พระองค์ทรงใช้นโยบายการทูตเชิงรุก ผ่านการคบค้าสมาคมและสร้างสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจตะวันตก แตกต่างจากเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่เลือกปิดประเทศและต่อต้านตะวันตก จนในที่สุดต้องสูญเสียเอกราชและตกเป็นอาณานิคมโดยสมบูรณ์

…ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2[6] ไทยจำต้องเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น แต่ในเวลาเดียวกันก็มีการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นอย่างเอกเทศ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ และอังกฤษ นับเป็นการดำเนินยุทธศาสตร์ “เลือกข้างสองทางโดยปริยาย” ที่ช่วยลดความเสี่ยง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้พ่ายแพ้ในสงคราม

…ช่วงสงครามเย็น[7] ไทยแม้จะเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐฯ แต่ในปี ค.ศ. 1975 ก็ได้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน แสดงให้เห็นถึงยุทธศาสตร์การถ่วงดุลที่ไม่ผูกมัดตนเองกับขั้วใดขั้วหนึ่งอย่างเบ็ดเสร็จ

…กรณีข้อพิพาททะเลจีนใต้ ไทยไม่ได้มีข้อพิพาทตรง แต่ใช้ยุทธศาสตร์ “ไม่เลือกข้าง” ระหว่างพันธมิตรเก่าอย่างสหรัฐฯ กับหุ้นส่วนเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอย่างจีน

ดังนั้น สถานะความเป็นกลางของไทยจึงไม่ใช่ “neutrality in law” แบบสวิตฯ แต่เป็น “pragmatic neutrality” หรือความเป็นกลางเชิงปฏิบัติและยืดหยุ่น ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการทูตและยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดในแต่ละยุค นี่จึงเป็นเหตุผลที่ไทยไม่ควรลอกเลียนแบบสวิตฯ แต่ต้องสร้าง “Neutrality แบบไทย” ที่สอดคล้องกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และผลประโยชน์แห่งชาติ

[1]Federal Department of Foreign Affairs. (n.d.). Neutrality. FDFA—Federal Department of Foreign Affairs. Retrieved August 28, 2025, from https://www.eda.admin.ch/eda/en/home/foreign-policy/international-law/neutrality.html

[2] HandWiki. (2024, February 5). Social: Neutral country. Retrieved August 28, 2025, from https://handwiki.org/wiki/Social:Neutral_country

[4]สิทธิพล เครือรัฐติกาล (2565, 4 สิงหาคม). การสถาปนาความสัมพันธ์ ไทย-จีน 1975 นโยบายต่างประเทศไทยในภาวะไร้ทางเลือก. ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 28 สิงหาคม 2568, จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_77642

[5]ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า. (n.d.). วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 [Franco–Siamese War]. In ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง. Retrieved August 28, 2025, from https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=วิกฤตการณ์_ร.ศ._112

[6] Thai PBS. (n.d.). ขบวนการเสรีไทย ในสายตาชาติมหาอำนาจช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2. Thai PBS. Retrieved August 28, 2025, from https://www.thaipbs.or.th/now/content/3014

[7] อัยย์ลดา แซ่โค้ว. (2023, 17 ตุลาคม). ‘จีน-ไทย ใช่อื่นไกล’ 48 ปีความเป็น ‘พี่น้องกัน’ จากมุมมองของ ศ.ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล. The Momentum. Retrieved August 28, 2025, from https://themomentum.co/closeup-48th-china-thailand-relations/