แนวคิดและแนวทางการเปลี่ยนผ่านประเทศไทย

ประเทศไทยอยู่ในยุคของการเปลี่ยนผ่าน เพราะปัจจัยที่ทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นมาได้ในระดับเศรษฐกิจรายได้ปานกลางระดับบนในอดีต บัดนี้ปัจจัยเหล่านั้นเสื่อมโทรมลงมากแล้ว แนวทางการพัฒนาแบบเดิม ๆ จึงไม่สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ทำให้ยุทธศาสตร์แบบเดิม ๆ ไม่สามารถพัฒนาประเทศต่อไปได้และจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่มิติใหม่ของการพัฒนา ทั้งนี้หากการเปลี่ยนผ่านไม่สำเร็จ ประเทศจะวนเวียนอยู่ที่เดิมหรืออยู่ในวังวนของวิกฤต หรืออาจถดถอยอย่างยาวนาน แต่หากสามารถเปลี่ยนผ่านไปได้ ประเทศไทยจะก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่า และพร้อมที่จะทะยานขึ้นด้วยพลังที่มากขึ้นกว่ายุคที่ผ่านมา

ประเทศไทยต้องเปลี่ยนผ่านอะไร?

ประเทศไทยต้องเผชิญการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ 3 ด้าน

ด้านแรก การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ จากประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศรายได้สูง ซึ่งมีความมั่งคั่งและยั่งยืน แต่จะต้องก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางไปให้ได้ ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยไม่สามารถขยายตัวเหมือนในอดีต เพราะความสามารถในการแข่งขันถดถอยลง เศรษฐกิจไทยไม่ได้เปรียบด้านค่าจ้างแรงงานอีกต่อไป ทรัพยากรธรรมชาติยังเสื่อมโทรมลง และความน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนลดน้อยลง

ประตูแห่งโอกาสของประเทศไทยเหลือเวลาอีกไม่กี่ปี เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่คนจำนวนมากยังยากจนและยังมีความเหลื่อมล้ำสูง ขณะเศรษฐกิจมีความเปราะบางและผันผวนง่าย แต่ประชาชนจำนวนมากยังขาดภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยยังขาดปัจจัยที่จะขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจรายได้สูง เพราะขาดแคลนแรงงานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เด็กไทยขาดทั้งความรู้ ทักษะ และลักษณะชีวิตที่ดี และเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยี

ด้านที่สอง การเปลี่ยนผ่านทางสังคม จากสังคมแบ่งขั้วไปสู่สิ่งที่ผมเรียกว่า “สังคมพหุเอกานิยม” ที่มีเอกภาพในความหลากหลาย ซึ่งจะต้องก้าวข้ามกับดักของความขัดแย้งไปให้ได้ ปัจจุบันสังคมไทยมีความแตกต่างกัน ทำให้เกิดความแตกแยก และจะนำไปสู่การแตกหักในที่สุด สังคมเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มต่าง ๆ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่รับฟังความเห็นที่แตกต่าง และมองคนที่คิดแตกต่างเป็นศัตรู คนแต่ละกลุ่มมุ่งให้ “ส่วนตัว” และ “ส่วนเรา” ชนะ แต่ “ส่วนรวม” กลับแพ้ เพราะต่างคนต่างให้น้ำหนักกับการปกป้องกันผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของสังคมโดยรวม เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ ประเทศจึงไม่อาจก้าวพ้นจากความขัดแย้งไปได้

ด้านที่สาม การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง จากสิ่งที่ผมเรียกว่า “ธนา-คณาธิปไตย” (หรือการเมืองที่อำนาจอธิปไตยถูกจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มคนชนชั้นนำ และเป็นการเมืองที่ใช้เงินเป็นทั้งปัจจัยนำเข้า กระบวนการ ผลผลิต และผลลัพธ์ กล่าวคือ เงินเป็นปัจจัยสำคัญในการก้าวขึ้นสู่อำนาจ และมีการใช้อำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง) ไปสู่ “อารยาธิปไตย” หรือ ประชาธิปไตยที่อยู่บนฐานของธรรมาธิปไตย เพื่อให้การเมืองไทยมีเสรีภาพและมีเสถียรภาพ แต่จะต้องก้าวข้ามกับดักประชาธิปไตยไปให้ได้ เพราะปัจจุบัน การเมืองไทยวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการเลือกตั้ง การคอร์รัปชัน การประท้วงขับไล่รัฐบาล  ความรุนแรง และรัฐประหาร

การเปลี่ยนผ่านทั้ง 3 ด้าน มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กัน เป็นทั้งเหตุและผลของกันและกัน การก้าวข้ามกับดักทั้งสามประการ จึงต้องทำไปพร้อม ๆ กัน

ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านได้อย่างไร?

การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้สำเร็จ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 5 ประการ หรือ 5R ดังนี้

ประการแรก จากการนำทางอำนาจ สู่การนำทางปัญญารู้คิด (Rethink) เพราะ “การนำทางความคิด ทรงพลังยิ่งกว่าการนำทางอำนาจ” ผมมีแนวคิดที่ชื่อว่า “อารยมหาพลัง” กล่าวถึง ฐานพลังที่สามารถเคลื่อนคนได้ 4 ฐาน คือ อำนาจ (บังคับ ฝืนใจ) อิทธิพล (จูงใจ เคลื่อนใจ) ศรัทธา (เชื่อใจ วางใจ) บารมี (ดลใจ บันดาลใจ) ในสภาวะที่สังคมไทยมีความแตกแยกจนฝังรากลึก ความพยายามสร้างความปรองดองโดยใช้อำนาจกดทับลงมา อาจไม่สามารถประสานรอยร้าวและสร้างความสมานฉันท์ได้ เพราะอำนาจไม่ยั่งยืน อำนาจควรใช้แต่น้อยกับคนทำไม่ดี แต่ควรใช้อิทธิพลในทางดี ใช้ศรัทธา และบารมี จึงจะสามารถเคลื่อนประเทศไปในทิศทางใหม่ได้

ประชาธิปไตยต้องไม่เป็นเพียงรูปแบบ แต่เป็นประชาธิปไตยในสาระ ซึ่งอยู่บนปรัชญาการเห็นแก่ส่วนรวม เคารพเสียงส่วนใหญ่ แต่คำนึงและนับถือเสียงส่วนน้อย ประชาชนยึดปรัชญาปัจเจกอารยะ ประกอบด้วยเครื่องกรองทางความคิด 3 ชั้น คือการตั้งคำถามว่าเรื่องต่างๆ นั้น ดีหรือไม่ งามหรือไม่ และจริงหรือไม่ ขณะที่ปรัชญาพื้นฐานของสังคมอารยะ คือ การถ่วงดุลอย่างเหมาะสมระหว่าง เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ โดยเสรีภาพคือเสรีภาพในการทำสิ่งที่ดีซึ่งพึงทำ เสมอภาคคือความเสมอภาคเชิงโอกาส ไม่ใช่ทุกคนเท่ากันในผลลัพธ์ทั้งหมด และภราดรภาพคือความเป็นพี่น้อง ไม่ใช่เล่นพรรคพวก

การปรองดองต้องทำด้วยกระบวนทัศน์การสร้างชาติ ทุกภาคส่วนและทุกฝ่ายต้องมาตกลงกันทางความคิดว่า จะนำพาประเทศไปในทิศทางใด และร่วมกันกำหนดอุดมการณ์แห่งชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดวิสัยทัศน์แห่งชาติ นโยบายแห่งชาติ วาระแห่งชาติ และผลประโยชน์แห่งชาติ เพื่อเป็นสัญญาประชารัฐในการนำพาประเทศในอนาคต ซึ่งประกอบด้วย สัญญาประชาชน (ดี งาม จริง) และสัญญาประชาคม (เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ) เมื่อคนทุกกลุ่มมีเป้าหมายที่ชัดเจนและพึงปรารถนาร่วมกันแล้ว ประชาชนทุกฝ่ายจะมุ่งสายตาไปยังอนาคตและก้าวข้ามความขัดแย้งในอดีต

ประการที่สอง จากมูลค่า สู่คุณค่า (Revalue) เพราะสังคมไทยเป็นสังคมมูลค่า ซึ่งให้ความสำคัญกับมูลค่ามากกว่าคุณค่า คนบูชาความร่ำรวย ไม่ได้ยกย่องคนที่ “ความดี” เท่ากับความร่ำรวยและยศถาบรรดาศักดิ์ และให้น้ำหนักกับผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม ระบบไม่ได้ให้รางวัลอย่างเหมาะสม ทำให้คนทำดีขาดแรงจูงใจ ทำให้การทุจริตเกิดขึ้นในทุกระดับ ทุกแวดวง และมีการใช้เงินจำนวนมาก เพื่อแลกกับผลประโยชน์หรือสิทธิพิเศษหรือการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น

สังคมไทยควรปลูกฝังให้คนมีจิตสาธารณะ การศึกษาต้องมีเป้าหมายการเรียนรู้เพื่ออัตตา (เพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองอย่างมีเกียรติ) เพื่อชีวา (เพื่อเข้าใจความหมายของชีวิต) และเพื่อปวงประชา(เพื่อรับใช้ประโยชน์ของปวงชน) การประเมินผลการเรียน และเกณฑ์การรับคนเข้าเรียนหรือเข้าทำงาน ต้องพิจารณาประวัติการทำงานเพื่อสังคมด้วย นอกจากนี้ มูลค่าของงานใด ๆ ควรปรับให้สอดคล้องกับคุณค่าของงานนั้น ระบบจูงใจต้องได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อให้งานที่มีคุณค่าได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น และเพื่อกระจายคนเก่งไปในทุกภาคที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งรัฐกิจ ธุรกิจ และประชากิจ ไม่ใช่กระจุกตัวในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเท่านั้น

ประเทศไทยควรมีระบบประเมินผลที่เที่ยงธรรม และให้รางวัลตามผลการประเมินนั้น ผมเสนอว่า ประเทศไทยควรมีการจัดทำ “ดัชนีวัดความอยู่ดีมีสุขของประเทศ” ซึ่งเป็นชุดของตัวชี้วัดที่แจกจ่ายให้แต่ละกระทรวง กรม กอง ต้องรับผิดชอบและดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ดังตัวอย่างของธนาคารแห่งประเทศไทยที่รับผิดชอบอัตราเงินเฟ้อ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยรับผิดชอบจำนวนนักท่องเที่ยว เป็นต้น โดยที่การจัดสรรงบประมาณ การให้โบนัส การเลื่อนขั้นและเลื่อนตำแหน่ง จะต้องพิจารณาจากตัวชี้วัดเหล่านี้

เราต้องสร้างระบบอุปถัมภ์แบบอารยะ เพราะการอุปถัมภ์มีอยู่ทั่วโลก เพียงแต่เป็นอุปถัมภ์ที่ดีหรือเลวเท่านั้น ดังนั้นผู้ใหญ่ในสังคมและประชาชนต้องช่วยกันสนับสนุนคน ดี เก่ง กล้า ให้ขึ้นไปมีตำแหน่งและใช้อำนาจอธิปไตย เพราะการใด ๆ ที่ใช้อำนาจอธิปไตย เช่นใช้อำนาจอธิปไตยผ่านการเมืองไม่ใช่เรื่องสกปรก แต่เป็นเรื่องของการทำคุณงามความดีให้แก่ประชาชนในประเทศ จึงต้องได้คนดี เก่ง กล้าเข้าไปทำงานการเมือง อย่างไรก็ตาม การที่คนปรารถนาดีต่อบ้านเมืองจะขึ้นสู่อำนาจเป็นเรื่องยาก เพราะการลงเลือกตั้งและหาเสียงเพื่อให้เป็นที่รู้จักของประชาชนนั้นต้องใช้เงินจำนวนมาก ส่วนผู้ที่ต้องการเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จะยินดีจ่ายต้นทุนสูงเพื่อเข้าไปมีอำนาจ ดังนั้นระบบเลือกตั้งจะต้องเปิดโอกาสให้คนดีเข้าสู่อำนาจ เช่น การทำให้การลงเลือกตั้งไม่ต้องใช้เงินเป็นตัวตั้ง เป็นต้น

ประการที่สาม จากปริมาณ สู่คุณภาพ (Restructure) เพราะการก้าวข้ามกับดักข้างต้นนั้นจะต้องเพิ่มคุณภาพของปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจไทยต้องปรับโครงสร้างให้มีผลิตภาพและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตด้วยกลยุทธ์ราคา โดยการผลิตสินค้าราคาถูกและผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อส่งออก เพราะค่าจ้างแรงงานต่ำ แต่ความได้เปรียบนี้กำลังจะหมดลง เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และไทยยังต้องแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า

ภาคการผลิตที่มีผลิตภาพต่ำจำเป็นต้องพัฒนาด้านผลิตภาพ โดยใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไปพัฒนาการผลิต ในอนาคต ภาคเกษตรของไทยบางส่วนจะพัฒนาเป็น “ฟาร์มเกษตรจักรกล” ที่มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนภาคการผลิตควรปรับเปลี่ยนจากผู้รับจ้างผลิต ไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น การวิจัย การออกแบบ การสร้างแบรนด์ การตลาด เป็นต้น ขณะที่สินค้าและบริการที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นจะต้องเพิ่มมูลค่าเข้าไป เช่น มวยไทยจะต้องมีการจัดระดับฝีมือเป็นสายสีต่างๆ และมีการจัดเก็บค่าทดสอบและรับรองระดับฝีมือ เป็นต้น

เราจำเป็นต้องปรับโครงสร้างแรงงาน โดยย้ายคนออกจากภาคเกษตรซึ่งมีผลิตภาพต่ำ และนำแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานและจากระบบสวัสดิการสังคม ระบบการศึกษาควรผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เพราะในปัจจุบัน เราขาดแคลนแรงงานระดับกลาง แต่มีผู้จบปริญญาตรีสายสังคมศาสตร์มากเกินความต้องการ การศึกษาแบบโหล “จ่ายครบ จบแน่” ต้องยกเลิก โรงเรียนต้องเคลื่อนไปสู่มาตรฐานระดับโลก และมีแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในโลก การศึกษาต้องสร้างคนที่มีความรู้ ทักษะ และลักษณะชีวิตที่ดี

ระบบอุดมศึกษาควรปรับโครงสร้างตามความเชี่ยวชาญ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ควรปรับตัวเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง เน้นความเชี่ยวชาญในบางประเด็น หรือมุ่งตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น ขณะที่มหาวิทยาลัยบางแห่งควรได้รับการพัฒนาให้มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา และมีมาตรฐานเทียบเท่ากับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก นอกจากนี้ ประเทศไทยควรจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติไทย โดยบูรณาการศูนย์วิชาการที่ดีเลิศในสาขาที่เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศเข้ามาอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ และสร้างให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลก

ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการวิจัยและพัฒนา เพราะค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของไทยต่ำมาก และผลงานวิจัยจำนวนมากขึ้นหิ้ง ขณะที่นักวิจัยมีจำนวนน้อย แต่การให้ทุนศึกษายังกระจัดกระจาย นักเรียนทุนเมื่อจบการศึกษาไม่มีโอกาสได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาอย่างเต็มที่ ผมเห็นว่า ประเทศไทยควรจัดทำเมกะโปรเจ็คด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทาย เพื่อทำให้การให้ทุนวิจัยและการสร้างนักวิจัยมีทิศทางชัดเจนในระยะยาว โดยใช้ยุทธศาสตร์กระโดดข้าม กล่าวคือ การส่งคนไปเรียนรู้จากอาจารย์ที่เก่งที่สุดของโลกในเรื่องนั้น ๆ เมื่อจบการศึกษามีประสบการณ์ทำงานระดับโลกแล้วกลับมาจะได้ใช้ความรู้ตรงตามที่ศึกษาและทำงานมา และสักวันหนึ่ง ผมฝันมาหลายสิบปีที่จะเห็นคนไทยได้รางวัลโนเบลเสียที

ประการที่สี่ จากผูกขาดวิถี สู่สมดุลวิถี (Rebalance) เพราะความไม่เท่าเทียมกันเป็นสาเหตุสำคัญของความขัดแย้งและวิกฤตทางสังคมและการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนผ่านประเทศจึงควรสร้าง “สมดุลวิถี” คือ การสร้างสมดุล 3 ด้าน ประกอบด้วยสมดุลทางอำนาจ สมดุลทางเศรษฐกิจ และสมดุลทางสังคม ให้กับ 5 ภาคีที่เป็นผู้เล่นหลักในสังคมไทย ได้แก่ การเมือง ราชการ ธุรกิจ วิชาการ และประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับการเฉลี่ยอำนาจ ผลประโยชน์ และมีที่ยืนทางสังคมอย่างเหมาะสม

การสร้างสมดุลทางอำนาจอาจทำได้โดยการออกแบบการเมืองเพื่อป้องกันการผูกขาดทางอำนาจ อาทิ การมีระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพ การสร้างอำนาจต่อรองของภาคประชาชนในการสนับสนุนกำกับและตรวจสอบ การเสริมกำลังภาคีวิชาการในการร่วมสร้างและประเมินนโยบายสาธารณะ และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างถูกต้อง เพื่อให้มีความสามารถตอบสนองความต้องการของท้องถิ่นที่มีความหลากหลายได้

การสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจทำได้โดยการกระจายความเจริญ โดยพัฒนาความเป็นเมืองในต่างจังหวัดทำให้เกิดเมืองที่มีความเจริญกระจายทั่วประเทศ ไม่ใช่ให้ความเจริญกระจุกตัวเฉพาะใน กทม.และเมืองใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง การกระจายความเป็นเมืองจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุน ทำให้โอกาสการจ้างงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมระหว่างประเทศจะสนับสนุนการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ

อีกประการหนึ่ง คือ การกระจายโอกาสเข้าถึงทรัพยากร โดยลดการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของทรัพยากร ผมเห็นด้วยกับแนวคิดการเก็บภาษีที่ดินเพื่อให้ผู้ที่กักตุนที่ดินไว้ต้องใช้ประโยชน์จากที่ดินหรือขายที่ดินออกมา ผมเสนอให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรเก็บไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์ แต่ควรหาวิธีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เหล่านี้โดยไม่ทำลายสภาพแวดล้อม นอกจากนี้ ประเทศไทยควรจัดเก็บต้นทุนการใช้ทรัพยากร โดยเฉพาะน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การสร้างความสมดุลทางสังคม คือ การสร้างสังคมที่ทุกคนมีความเท่าเทียมเชิงโอกาส ปัจจุบัน สังคมไทยมีแต่ “ความฝันของชนชั้นนำ”(Elite Dream) แต่ไม่มี “ความฝันของประเทศไทย” (Thailand Dream) ซึ่งเป็นสังคมที่ทุกคนมีที่ยืนในสังคม และมีการแข่งขันที่เป็นธรรม คนที่ดี เก่ง ขยัน ฉลาด อดทน จะต้องมีโอกาสประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องใช้เส้นสาย โอกาสที่เท่าเทียมจะเกิดจากการสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนของการให้บริการของภาครัฐ การดำเนินนโยบายการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการผูกขาดหรือใช้อำนาจเหนือตลาด การอำนวยความยุติธรรมแก่ทุกกลุ่มคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ และการสร้าง “รัฐสวัสดิภาพ” ที่ทำให้สังคมสามารถพึ่งตนเองได้ ไม่ใช่รัฐสวัสดิการที่ประชาชนต้องให้รัฐอุ้ม

ประการที่ห้า จากต่างคนต่างทำ สู่การร่วมมือกันทำ (Reorganize) เพราะประเทศไทยมีปัญหาการทำงานเป็นทีม ขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ มีงานที่ซ้ำซ้อนและตกหล่นค่อนข้างมาก และมีการใช้คนไม่ตรงกับงานเพราะมีการเล่นพรรคเล่นพวกมากเกินไป การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านประเทศจึงควรมีการจัดองคาพยพกันใหม่ โดยมีการขับเคลื่อนในภาพรวม ร่วมมือกัน และแบ่งงานกันทำ เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมช่วยกันสร้างสรรค์บ้านเมืองตามศักยภาพของตน

การส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันพัฒนาประเทศนั้น จะต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์ของการพัฒนาประเทศให้ชัดเจน เพื่อส่งสัญญาณให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน และจัดระบบความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ ภาครัฐต้องมีระบบที่บริหารงานในภาพรวม มีระบบวางแผนการทำโครงการร่วมกัน และมีระบบจัดการข้อมูลที่ทุกหน่วยงานเข้าถึงได้และทราบว่าหน่วยงานใดทำอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของการทำงานของหน่วยงานรัฐ

ประเทศไทยต้องจัดองคาพยพใหม่ ทั้งรัฐกิจ ธุรกิจ และประชากิจ ต้องร่วมคิด ร่วมวิสัยทัศน์ ร่วมยุทธศาสตร์ ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติการ ร่วมประเมิน ร่วมรับผิดชอบ ร่วมแก้ไข ร่วมปรับเปลี่ยนประเทศอย่างแท้จริง ความต้องการในสังคมมีหลากหลาย ภาครัฐไม่สามารถตอบสนองได้ทั้งหมด ภาครัฐควรมองภาพรวมของความต้องการทั้งประเทศ และจัดระบบเพื่อส่งเสริมให้ภาคีอื่น ๆ เข้ามาร่วมมือและแบ่งบทบาทหน้าที่กัน เช่น การส่งเสริมให้ภาคเอกชน และภาคประชาชน รับผิดชอบบางปัญหา บางกลุ่มคน หรือบางพื้นที่ เพื่อทำให้เกิดการทำงานอย่างสอดประสานกัน และทำให้เกิดพลังทวีคูณในการพัฒนาประเทศ

ประชาชนควรมีทางเลือกที่หลากหลายในการมีส่วนรับใช้สังคม (ทางเลือกต่างๆ เป็นส่วนผสมของรัฐกิจ ธุรกิจ และประชากิจ) เพื่อที่ผู้จบการศึกษาจะไม่จำเป็นต้องทำงานในราชการหรือธุรกิจเท่านั้น แต่มีทางเลือกอื่นๆ มากขึ้น เช่น วิสาหกิจเพื่อสังคม องค์กรธุรกิจเพื่อสังคมรูปแบบอื่นๆ รัฐบาลอาจออกพันธบัตรสังคม เพื่อสนับสนุนทางการเงินให้แก่ภาคประชาสังคมในการแก้ปัญหาสังคม เป็นต้น

ประชาชนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดยพรรคการเมืองจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นพรรคของมหาชน ไม่ใช่พรรคของนายทุน พรรคการเมืองควรเกิดขึ้นจากรวมตัวกันบนฐานอุดมการณ์ เงินสนับสนุนมาจากประชาชนผ่านการระดมทุน ไม่ใช่มาจากนายทุนเพียงไม่กี่ราย กรรมการพรรคควรมาจากการคัดเลือกของสมาชิกไม่ใช่กลุ่มแกนนำของพรรค ส่วนผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคต้องมาจากการลงคะแนนเบื้องต้น (primary vote) ของสมาชิกพรรค ไม่ใช่จากการคัดเลือกของผู้บริหารพรรค

คนไทยจะต้องทำอะไร?

ในสถานการณ์การเปลี่ยนผ่านประเทศไทย ซึ่งประเทศกำลังติดกับดักทั้งสามประการข้างต้น ความเป็นไปได้ของประเทศไทยในอนาคตสามารถจำแนกได้เป็น 4 ฉากทัศน์ (scenarios) โดยพิจารณาจากทิศทางการพัฒนา และความร่วมมือของประชาชน ประกอบด้วย

ฉากทัศน์ที่ 1 (Thailand 1) ต่างทิศ ต่างทำ หากไม่มีทิศทาง และไม่ร่วมมือกัน แต่ละฝ่ายจะมีทิศทางที่ขัดแย้งกันเอง และต่างฝ่ายจะไปไม่ได้ไกล ประเทศไทยจะติดหล่ม และถดถอยอย่างถาวร

ฉากทัศน์ที่ 2 (Thailand 2) ต่างทิศ ร่วมทำ หากร่วมมือ แต่ไม่มีทิศทาง การพัฒนาอาจไปผิดทิศผิดทาง ในที่สุดจะแตกแยกกัน หรือนำพาประเทศไปไม่ได้

ฉากทัศน์ที่ 3 (Thailand 3) ร่วมทิศ ต่างทำ หากมีทิศทาง แต่ไม่ร่วมมือ จะมีเฉพาะคนที่แข็งแรงเท่านั้นที่เอาตัวรอดได้

ฉากทัศน์ที่ 4 (Thailand 4) ร่วมทิศ ร่วมทำ หากมีทิศทาง และร่วมมือกัน ประชาชนจะก้าวหน้าไปด้วยกัน และประเทศจะมีอนาคต

ผมเชื่อเสมอว่า “สังคมไทย ไม่ได้ขาดคนดี แต่ขาดคนดีที่มีพลัง” คนดีในที่นี้ คือ คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เหตุที่คนดีไม่มีพลังเพราะคนดีมักไม่ร่วมมือกัน แต่คนไม่ดีจะร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้สำเร็จ คนดีจะต้องร่วมมือกัน และไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสร้างพลังในการเปลี่ยนแปลง จึงจะสามารถนำพาประเทศเปลี่ยนผ่านไปสู่ “สยามอารยะ” ได้

 

เอกสารอ้างอิง

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (5 ตุลาคม 2538). พรรคมหาชน การเมืองเพื่อมวลชน. มติชน, น. 27.

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2542). สังคมพหุเอกานิยม : เอกภาพในความหลากหลาย. ซัคเซส.

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2542). แหกคุก ! ทางปัญญา : สะท้อนคิด ฝ่าวิกฤตการศึกษาไทย. ซัคเซส.

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2543). เศรษฐกิจกระแสกลาง : ทิศทางเศรษฐกิจไทยในอนาคต. ซัคเซส.

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2553). คานงัดประเทศไทย : ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพลิกฟื้นประเทศไทย ก่อนเผชิญภาวะวิกฤตรอบด้าน. ซัคเซส.

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2553, 10 พฤศจิกายน ). Corporate Social Responsibility (CSR) = Secondary Joint Responsibility. กรุงเทพธุรกิจ, น. 15.

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2554, 15 กุมภาพันธ์). ข้อเสนอในการจัดทำดัชนีความก้าวหน้าของชาติ. กรุงเทพธุรกิจ.

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2555). ชาวอารยะ: ชาวศิวิไลซ์ที่ใฝ่หา. ซัคเซส.

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2555). สยามอารยะ แมนนิเฟสโต : แถลงการณ์สยามอารยะ หลักคิดสร้างชาติให้อารยะ. ซัคเซส.

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2556, 27 ธันวาคม). สร้าง “สมดุลวิถี” สู่ “อารยสมดุลวิถี” ดีกว่า “เหวี่ยงลูกตุ้ม” กระแทกใส่กัน!!. กรุงเทพธุรกิจ.

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2557, 27 มิถุนายน ). ยุทธศาสตร์ประเทศไทยสู่เศรษฐกิจรายได้สูง. เดลินิวส์.

*** เนื้อหาในบทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำกล่าวปาฐกถาของ ศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ในหัวข้อ “แนวคิดและแนวทางในการเปลี่ยนผ่านประเทศไทย” ในงาน “60 ปี คนดีมีพลัง” จัดโดยสมัชชาสยามอารยะ ณ อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี วันที่ 6 กันยายน พ.ศ.2558