แก๊งคอลเซนเตอร์: ปัญหาเรื้อรังที่ยังไม่มีการจัดการ

ในยุคดิจิทัลที่การสื่อสารไร้พรมแดน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่แฝงมากับความสะดวกสบายของเทคโนโลยีคือ “แก๊งคอลเซนเตอร์ ” ที่กำลังสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชน กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ใช้เทคนิคการหลอกลวงทางโทรศัพท์และออนไลน์เพื่อล่อลวงเหยื่อให้หลงเชื่อและโอนเงิน โดยมักอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือพนักงานธนาคาร

หากมองย้อนกลับไป จุดกำเนิดและการแพร่กระจายของแก๊งคอลเซนเตอร์มีรากฐานจากประเทศไต้หวัน ก่อนที่จะขยายอิทธิพลสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ในระยะแรกกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้มุ่งเป้าหมายไปยังประเทศที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็ง เนื่องจากประชากรมีกำลังซื้อสูงและมีเงินออมมากพอที่จะเป็นเหยื่อ โดยวิวัฒนาการของการหลอกลวงเริ่มต้นจากรูปแบบง่ายๆ เช่น “เกมเอทีเอ็ม” (ATM Game) ที่หลอกให้เหยื่อโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม แต่เมื่อเวลาผ่านไป วิธีการได้พัฒนาจนกลายเป็น “ระบบคอลเซนเตอร์” ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีและเทคนิคทางจิตวิทยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหลอกลวง

กลยุทธ์การหลอกลวงของแก๊งเหล่านี้มักเล่นกับอารมณ์และความรู้สึกของเหยื่อ โดยเฉพาะในสามด้านหลัก ได้แก่ ความโลภ ด้วยการล่อลวงด้วยผลประโยชน์หรือเงินก้อนใหญ่ ความกลัว โดยการข่มขู่ว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม และความอ่อนไหวทางอารมณ์ ด้วยการสร้างสถานการณ์ที่กระทบจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้เหยื่อตกอยู่ในภาวะกดดันและตัดสินใจผิดพลาด ด้วยวิธีการที่ซับซ้อนและแยบยลเหล่านี้ แก๊งคอลเซนเตอร์สามารถสร้างความเสียหายทั้งทางการเงินและจิตใจให้แก่เหยื่อได้อย่างมหาศาล

ผู้เสียหายจากแก๊งคอลเซนเตอร์นั้นมีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงผู้สูงอายุ ตัวอย่างที่น่าตกใจคือกรณีของคุณตาวัย 81 ปี ที่ถูกหลอกให้โอนเงินเก็บทั้งชีวิตกว่า 22 ล้านบาท จนเกือบคิดสั้น ซึ่งปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย ศูนย์ปราบปรามทางเทคโนโลยีสารสนเทศรายงานว่า ในปี 2564 มีการหลอกลวงทางโทรศัพท์มากกว่า 6.4 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 270 จากปีก่อน มีผู้เสียหาย 1,600 คน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 1,000 ล้านบาท และแนวโน้มคดีอาชญากรรมประเภทนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมรูปแบบการหลอกที่ซับซ้อนขึ้น ยากต่อการป้องกันและปราบปราม ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว

ผมวิเคราะห์ว่า สาเหตุของปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน เนื่องจากมีการใช้ “บัญชีม้า” หรือบัญชีธนาคารของบุคคลอื่นในการรับโอนเงินจากเหยื่อ ทำให้การสืบสวนและติดตามเงินเป็นไปอย่างยากลำบาก อีกทั้งมีการใช้สื่อโซเชียลมีเดียและช่องทางออนไลน์ในการโฆษณาชวนเชื่อ ช่วยให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว รวมถึงปัญหาช่องโหว่ทางกฎหมายที่อาจไม่ครอบคลุมหรือไม่ทันต่อเทคนิคการหลอกลวงที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ อาจมีเจ้าหน้าที่บางคนที่เพิกเฉยหรือร่วมมือกับแก๊งมิจฉาชีพ ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับการแก้ปัญหา จากการวิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบของปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ ผมขอเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงบูรณาการ ดังต่อไปนี้

1. การออกกฎหมายที่ครอบคลุมและการบังคับกฎหมายใช้ที่เข้มงวดมากขึ้น
รัฐบาลควรดำเนินมาตรการทางกฎหมายที่ครอบคลุมและเข้มงวดมากขึ้น โดยออกกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการซื้อขาย เช่า หรือยืมบัญชีธนาคาร เพื่อปิดช่องว่างที่มิจฉาชีพมักใช้ในการกระทำผิด พร้อมทั้งเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงขึ้นทั้งจำคุกและปรับ เพื่อป้องกันและลดแรงจูงใจในการกระทำผิด

นอกจากนี้ ต้องมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายค้ามนุษย์ ให้ทันสมัยและครอบคลุมอาชญากรรมรูปแบบใหม่ในยุคดิจิทัล โดยเป้าหมายสำคัญคือการคุ้มครองประชาชนและรักษาความมั่นคงของระบบการเงินประเทศ โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่องซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินและการหลอกลวงออนไลน์ในระยะยาว

2. การพัฒนาระบบการยืนยันตัวตนที่มีความปลอดภัยสูงขึ้น
ธนาคารควรยกเลิกการส่งลิงก์สำหรับทำธุรกรรมผ่านช่องทางที่ง่ายต่อการถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ เช่น SMS หรืออีเมล ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเจาะข้อมูลโดยมิจฉาชีพ และใช้ระบบไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) มาช่วยในการยืนยันตัวตน เช่น ลายนิ้วมือ หรือการสแกนใบหน้า ส่งผลให้การยืนยันตัวตนมีความปลอดภัยสูงขึ้น อีกทั้งควรจำกัดการใช้งาน Mobile Banking ให้เป็นหนึ่งบัญชีต่อหนึ่งอุปกรณ์เท่านั้น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการที่มิจฉาชีพที่จะสามารถเข้าถึงบัญชีของเหยื่อจากอุปกรณ์หลายเครื่องพร้อมกันได้ เพื่อประชาชนสามารถใช้บริการทางการเงินดิจิทัลได้อย่างมั่นใจขึ้น

3. การเพิ่มความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
ผมเสนอว่าควรมีการกำหนดวงเงินพิเศษสำหรับธุรกรรมออนไลน์ที่ต้องผ่านการยืนยันตัวตนเข้มงวด ควบคู่กับการปรับลดวงเงินต่อครั้งสำหรับธุรกรรมผ่าน (Mobile Banking) นอกจากนี้ควรเพิ่มทางเลือกในการโอนเงินที่ต้องได้รับการอนุมัติจากบุคคลที่สอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มชั้นการตรวจสอบ และลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น มีระบบตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบอัตโนมัติคอยเฝ้าระวังอยู่เบื้องหลัง มาตรการนี้ต้องทำงานประสานกันเพื่อสร้างเกราะป้องกันความปลอดภัย

4. การปรับปรุงการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ
ภาครัฐควรจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับเรื่องและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายได้อย่างทันท่วงที เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยมีการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งมิจฉาชีพ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม รวมถึงจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อสืบสวนกรณีที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐในคดีอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมพัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามและจับกุมผู้กระทำความผิด

อีกทั้งส่งเสริมให้มีการจัดอบรมและพัฒนาทักษะของเจ้าหน้าที่ให้ทันต่อเทคโนโลยีและรูปแบบอาชญากรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อยกระดับการทำงานของหน่วยงานภาครัฐในการต่อสู้กับอาชญากรรมออนไลน์ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และลดโอกาสที่เจ้าหน้าที่รัฐจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมผิดกฎหมาย

5. การให้ความรู้และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน
ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคาร ควรร่วมมือกันรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนผ่านสื่อทุกช่องทางเพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตราย พร้อมส่งเสริมให้ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาข้อเสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเสนอที่ “ดีเกินจริง” หรือเร่งรัดการตัดสินใจ ควบคู่กับการจัดอบรมวิธีตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมการเงิน นอกจากนี้ควรสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการจัดกิจกรรมให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้เคยตกเป็นเหยื่อ เพื่อให้เห็นภาพจริงและตระหนักถึงความเสี่ยง เป็นต้น

ผมมองว่า “แก๊งคอลเซนเตอร์” เป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการตกเป็นเหยื่อ พร้อมพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ให้กับประชาชนเพื่อเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญในระยะยาว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่แต่ละบุคคลต้องมีสติ ไม่ตกเป็นเหยื่อของความโลภหรือความกลัว และรู้จักตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมใดๆ ครับ