ฮาร์วาร์ดเสนอผลสำรวจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของคนอเมริกัน ปัญญาสมาพันธ์เสนอผลสำรวจดัชนีประสิทธิผลประเทศไทย

     ฮาร์วาร์ดเป็นมหาวิทยาลัยที่มีบทบาทสำคัญต่อการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศชาติและสังคมบนพื้นฐานจุดแกร่งทางด้านวิชาการและการเป็นผู้นำทางด้านการปฏิบัติของตนเอง ตามที่ผมเคยนำเสนอในหลายบทความก่อนหน้านี้ บทความนี้ผมจะนำเสนออีกหนึ่งตัวอย่างการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศชาติที่สำคัญของฮาร์วาร์ด นั่นคือ การสำรวจความคิดเห็นของประชาชน  

     เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา ฮาร์วาร์ดได้นำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนอเมริกันเกี่ยวกับประสบการณ์การดูแลสุขภาพส่วนบุคคลและการรับรู้ของมลรัฐที่พวกเขาอาศัยอยู่ โดยการสำรวจดังกล่าวนี้เกิดมาจากความร่วมมือกันระหว่างองค์กรสื่อที่ชื่อ เอ็นพีอาร์ (NPR) มูลนิธิโรเบิร์ต วู้ด จอห์นสัน (Robert Wood Johnson Foundation) และ วิทยาลัยสาธารณสุข ที.เฮช. ชาน แห่งฮาร์วาร์ด (Harvard T.H. Chan School of Public Health) ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนอเมริกันวัยผู้ใหญ่ภาพรวมทั้งประเทศจำนวนมากกว่า 1,000 คน และสำรวจความคิดเห็นของประชาชนอเมริกันวัยผู้ใหญ่แยกแต่ละมลรัฐอีกทั้งหมด 7 มลรัฐ มลรัฐละมากกว่า 1,000 คน ประกอบด้วย มลรัฐฟลอริดา มลรัฐแคนซัส มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ มลรัฐโอไฮโอ มลรัฐออริกอน มลรัฐเทกซัส และมลรัฐวิสคอนซิน โดยทั้ง 7 มลรัฐดังกล่าวนี้ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนกลุ่มทางภูมิศาสตร์ ซึ่งมีทั้งที่มีและไม่มีการขยายโปรแกรมการประกันสุขภาพสำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือที่เรียกว่า เมดิเคด (Medicaid) ของสหรัฐอเมริกา 

     ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนอเมริกันครั้งนี้พบว่า ถึงแม้ประชาชนอเมริกันส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกพึงพอใจกับบริการดูแลสุขภาพที่พวกเขาได้รับ แต่ในที่นี้มีประชาชนอเมริกันจำนวนมากที่ยังคงประสบปัญหาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพ หลักประกันสุขภาพ  และ การเข้าถึงการดูแลสุขภาพ ในยามที่ตนเองต้องการ 
ประชาชนอเมริกันวัยผู้ใหญ่ส่วนใหญ่สะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักประกันสุขภาพของพวกเขาไปในเชิงบวก โดยร้อยละ 33 เห็นว่า “ดีเยี่ยม” ร้อยละ 41 เห็นว่า “ดี” หนึ่งในสี่หรือร้อยละ 20 เห็นว่า “ค่อนข้างดี” และร้อยละ 5 เห็นว่า “แย่” นอกจากนี้ มากกว่าหนึ่งในสี่บอกว่า ค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพเป็นปัญหาทางการเงินอย่างร้ายแรงสำหรับพวกเขาและครอบครัว 

     การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนอเมริกันดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 2015 ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ประชาชนอเมริกันในสหรัฐอเมริกาประมาณ 17.6 ล้านคนเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ ตามสิทธิประโยชน์ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจัดให้แก่ประชาชน 

ประยุกต์สู่มหาวิทยาลัยไทย

     มหาวิทยาลัยควรมีบทบาทสำคัญต่อการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศชาติและสังคมมากขึ้นในแง่มุมที่หลากหลายบนพื้นฐานจุดแกร่งทางด้านวิชาการของตนเอง เช่น การสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เช่นเดียวกับฮาร์วาร์ด โดยให้มีความเป็นกลาง ถูกต้อง ตรงไปตรงมา น่าเชื่อถือ สะท้อนถึงการมีจริยธรรมทางวิชาการและจริยธรรมทางวิชาชีพ ด้วยว่ามหาวิทยาลัยเป็นองค์กรวิชาการชั้นสูงจึงสมควรยิ่งที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมบนฐานการผลิตผลงานวิชาการของตนเองและมีส่วนร่วมพัฒนาแก้ปัญหาสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

     “สภาปัญญาสมาพันธ์”2  ที่ผมเป็นประธานสะท้อนความพยายามในเรื่องดังกล่าวนี้ โดยการริเริ่มพัฒนาให้มี “ดัชนีประสิทธิผลประเทศไทย (Thailand Effectiveness Index – TE Index)” หรือ ตัวชี้วัดความเข้มแข็งของ 3 ภาคส่วน ประกอบด้วย ภาครัฐ (Public Sector) ภาคเอกชน (Private Sector) และภาคประชาชนหรือภาคประชาสังคม (People Sector หรือ Civic Sector)3  ซึ่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมา สภาปัญญาสมาพันธ์ได้มีการแถลงข่าวนำเสนอผลการศึกษา “ดัชนีประสิทธิผลภาครัฐของประเทศไทย (Thailand’s Public Sector Effectiveness Index – PBE Index)4  ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกของสภาปัญญาสมาพันธ์และเป็นภาคส่วนที่ได้คะแนนต่ำสุดจากทั้งหมด 3 ภาคส่วนในการสำรวจครั้งแรกนี้ 

     ดัชนีประสิทธิผลภาครัฐของประเทศไทยเป็นดัชนีที่ต้องการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการปฏิบัติงานของภาครัฐ โดยวัดการรับรู้ของประชาชนถึงประสิทธิผลการทำงานของภาครัฐจากพันธกิจสำคัญ 3 ด้านของภาครัฐคือ (1) ด้านนโยบายสาธารณะ (Public policy) (2) ด้านการส่งมอบบริการของภาครัฐ (Service delivery) และ (3) ด้านสถาบันรัฐ (Institution) โดยทำการสำรวจความเห็นกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 1,093 ตัวอย่างทั่วประเทศ กระจาย 5 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และกรุงเทพฯและปริมณฑล ควบคู่กับการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 209 ตัวอย่าง ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า พันธกิจด้านการส่งมอบบริการของภาครัฐเป็นพันธกิจที่ภาพรวมได้คะแนนสูงสุดอยู่ที่ร้อยละ 52.43 รองลงมาคือ ด้านสถาบันรัฐและด้านนโยบายสาธารณะตามลำดับ โดยด้านที่มีคะแนนมากที่สุดของพันธกิจด้านการส่งมอบบริการของภาครัฐนี้คือ การบูรณาการ ร้อยละ 54.91 รองลงมาคือ คุณภาพ ร้อยละ 53.97 ความรวดเร็ว ร้อยละ 53.53 การคอรัปชั่น ร้อยละ 50.95 การไม่เลือกปฏิบัติ ร้อยละ 50.91 ประสิทธิภาพ ร้อยละ 50.82 และสุดท้ายคือ ความโปร่งใส ร้อยละ 50.43 ซึ่งได้คะแนนต่ำสุด อันเป็นการสะท้อนนัยยะการปฏิบัติงานของภาครัฐว่า ปัจจุบันยังมีปัญหาอยู่มากในทุกพันธกิจ 

     หากพิจารณาต่อยอดจากผลการศึกษาดังกล่าว ผมเห็นว่า มหาวิทยาลัยในฐานะองค์กรแห่งความรู้และองค์กรวิจัยควรเข้าไปมีบทบาทสนับสนุนการปฏิบัติงานของภาครัฐจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทด้านการสอนและการวิจัยที่เป็นจุดแกร่งของมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศฟินแลนด์ สร้างเครือข่ายเพื่อให้ครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทำวิจัยร่วมกับคณาจารย์มหาวิทยาลัย5 เป็นต้น อันจะไม่เพียงเป็นประโยชน์เฉพาะต่อการปฏิบัติงานขององค์กรภาครัฐเท่านั้น แต่ยังจะนำการพัฒนามาสู่ประเทศชาติสังคมส่วนรวมด้วยอีกทางหนึ่ง


1Harvard schools, offices, and affiliates,  Poll: Many Americans view their health care positively, but report problems with costs, quality, and access to services [Online], accessed March 14, 2016, available from http://news.harvard.edu/gazette/story/newsplus/poll-many-americans-view-their-health-care-positively-but-report-problems-with-costs-quality-and-access-to-services/
2ปัจจุบันมี ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ เป็นประธาน และคณะกรรมการ ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และนักวิจัยหลายสาขาวิชาจากสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ สภาปัญญาสมาพันธ์มีการแถลงข่าวเปิดตัวครั้งแรกในวันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมา อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, “ดัชนีประสิทธิผลภาครัฐก้าวแรกสู่ระบบขับเคลื่อนประเทศไทย,” กรุงเทพธุรกิจ (29 ธันวาคม 2558), หน้า 11.
3เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, “ดัชนีประสิทธิผลภาครัฐก้าวแรกสู่ระบบขับเคลื่อนประเทศไทย”. 
4“ภาครัฐ” ในที่นี้หมายถึง องค์กรภาครัฐทุกประเภททั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น รวมถึงองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ ตุลาการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชน องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ  
5วิจารณ์ พาณิช, ส่งความสุข สู่คุณภาพการศึกษา 2556 (กรุงเทพฯ : ซีโน พับลิชชิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด, มปป.), หน้า 72.

 

ที่มา: สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์
ปีที่ 63 ฉบับที่ 28 วันที่ ศุกร์ 25 – พฤหัสบดี 31 มีนาคม 2559

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD)
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com

แหล่งที่มาของภาพ :  http://guiadoestudante.abril.com.br/imagem/consulte-26-01.jpg

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *