ยุทธศาสตร์ “ไทยเป็นกลาง” เอาตัวรอดท่ามกลางโลกแบ่งขั้วรุนแรง

การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจกำลังรุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้น จีนในฐานะมหาอำนาจเบอร์ 2 มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ การทหารและเทคโนโลยีใกล้เคียงกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศขนาดเล็กและขนาดกลางจึงไม่อาจวางตัวนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ท่ามกลางเงื่อนไขเช่นนี้ หากไทยปราศจากยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ก็เสี่ยงที่จะถูกบีบให้ “เลือกข้าง” หรือสูญเสียพื้นที่ทางการทูตและเศรษฐกิจในภูมิภาค

คำตอบของไทย จึงไม่ใช่การใกล้ชิดกับขั้วอำนาจใดมากเกินไป ซึ่งจะสร้างความขัดแย้งกับอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ขณะเดียวกัน ไทยก็ไม่สามารถเลือก “ความเป็นกลางทางกฎหมาย” แบบสวิตเซอร์แลนด์ได้ เพราะไม่มีมหาอำนาจใดต้องการรับรองสถานะนั้น และการลอยตัวไร้ยุทธศาสตร์ยิ่งเสี่ยงต่อแรงกดดันจากทั้งสองฝ่าย

ดังนั้น ไทยต้องถ่วงดุลให้มหาอำนาจทั้งสองฝ่ายมองว่า “การคบค้ากับไทยให้ประโยชน์มากกว่าการทำร้ายไทย” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไทยต้องทำให้ทั้งสองฝ่ายอยากเห็นเราอยู่ตรงกลาง มากกว่าถูกผลักไปอีกฝั่ง

  1. ข้อถกเถียงว่าทำไมไทยต้องเป็นกลาง

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ไทยต้องเลือกแนวทางความเป็นกลาง ได้แก่

1.1 ภูมิรัฐศาสตร์ที่เสี่ยงต่อการถูกบีบเลือกข้าง ไทยตั้งอยู่กึ่งกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิก เป็นเส้นทางคมนาคมและพื้นที่ยุทธศาสตร์ หากเอนเอียงไปฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายย่อมมองว่าไทยเป็นฝ่ายตรงข้าม ต่างจากบางประเทศ เช่นออสเตรเลียที่อยู่ห่างไกลจากจุดปะทะ จึงเลือกข้างได้ชัดเจนโดยไม่เสี่ยงมากนัก

1.2 เศรษฐกิจที่พึ่งพาทั้งสองขั้ว เศรษฐกิจไทยผูกโยงทั้งสหรัฐฯ และจีนอย่างลึกซึ้ง สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญและแหล่งลงทุนโดยตรง ขณะที่จีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งและนักท่องเที่ยวรายใหญ่ หากไทยเลือกข้างใดข้างหนึ่ง ย่อมเสี่ยงเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลจากอีกฝ่าย

1.3 ประวัติศาสตร์การอยู่รอดด้วยยุทธศาสตร์ถ่วงดุล ไทยรอดพ้นจากภัยมหาอำนาจมาได้ด้วยการ “ถ่วงดุล” ไม่ใช่เลือกข้างเบ็ดเสร็จ เช่น กรณีสงครามโลกครั้งที่ 2 แนวทางนี้ทำให้ไทยมีพื้นที่ต่อรองเสมอ ปัจจุบันสหรัฐฯ-จีนมีศักยภาพทางการทหารใกล้เคียงกันและหากเกิดการปะทะกันจริงก็มีแนวโน้มจะยืดเยื้อ ไทยจึงไม่ควรรีบเลือก แต่ควรถ่วงดุลเพื่อความอยู่รอด[1][2]

ดังนั้น “ต้นทุนของการไม่เป็นกลางสูงเกินไป” หากไทยเลือกเข้าข้างชัดเจน อาจเผชิญการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากอีกฝ่าย การถูกลดบทบาทในเวทีการทูต หรือแม้กระทั่งการตกเป็นเป้าทางทหารในยามวิกฤต ซึ่งอาจสร้างความสูญเสียมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับประโยชน์

  1. ยุทธศาสตร์ความเป็นกลางเชิงรุกของไทย (Thai Neutrality)

ผมเสนอให้ใช้โอกาสจากการแข่งขันมหาอำนาจ เพื่อสร้างเกราะป้องกันในจุดแกร่ง

ของประเทศ เพื่อให้ไทยมีที่ยืนและไม่ถูกบีบให้เลือกข้าง ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์มีดังนี้

2.1 เป็นกลางเชิงรุก (Proactive Neutrality)

(1) รุกด้านการทูต โดยการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเวทีนานาชาติ ทั้งที่เกี่ยวกับ

ความมั่นคงใหม่ ๆ เช่น ความมั่นคงไซเบอร์ ความมั่นคงด้านสุขภาพ คุณธรรมและจริยธรรมและเป็นฮับการเจรจาระหว่างอาเซียน-จีน หรืออาเซียน–สหรัฐฯ ทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย ในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้ง แต่ไม่อยากเจรจาโดยตรงกันเอง เช่น ความมั่นคงทางทะเล เป็นต้น

(2) รุกในการรวมกลุ่มคานอำนาจโลก ไทยควรมีบทบาทนำการรวมกลุ่มประเทศขนาดเล็กและกลางเพื่อสร้าง “ขั้วที่ 3” ในระบบโลก ทำหน้าที่ถ่วงดุลมหาอำนาจ

(3) รุกด้านการสื่อสาร รัฐบาลไทยต้องไม่เงียบเมื่อเกิดวิกฤต แต่ต้องครองพื้นที่สื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการประกาศท่าทีที่ชัดเจน ส่งสัญญาณความเป็นกลางและสร้างความเชื่อมั่นในประชาคมโลก

2.2 ไทยเป็นกลางแบบมีเขี้ยวเล็บ แม้จะเป็นกลาง แต่ไทยต้องมีศักยภาพป้องกัน

ตนเองที่มหาอำนาจเคารพ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพทันสมัย กำลังข่าวกรอง หรือขีดความสามารถด้านไซเบอร์ เป้าหมายไม่ใช่การรุกราน แต่เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้ว่า “ต้นทุนการลากไทยเข้าสงครามนั้นสูงเกินไป” ไทยต้องเป็น “แมวที่มีเขี้ยวเล็บ” พร้อมป้องกันตนเองเมื่อจำเป็น

2.3 ไทยเป็นกลางโดยใช้จุดแกร่งถ่วงดุล หลักคิด คือ การทำให้ทั้งสองฝ่ายมี

“ผลประโยชน์ผูกพัน” ในไทย จนไม่สามารถปล่อยให้ไทยเสียสมดุลได้ การสร้างสภาวะ “ขาดไทยไม่ได้” ต้องทำผ่านการดึงดูดการลงทุนจากทั้งสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งพันธมิตรของแต่ละฝ่าย ในอุตสาหกรรมอนาคตที่ไทยมีศักยภาพ โดยเน้นให้การลงทุนเกิดขึ้น “คู่ขนาน” เพื่อถ่วงดุล โดยอุตสาหกรรมที่ควรดึงการลงทุนจากทั้งสองขั้ว คือ อุตสาหกรรมที่เป็น 4 จุดแกร่งของไทย (4 Niches Thailand)[3] ตามแนวคิดของผม เพราะพิจารณาแล้วว่าจะทำให้ไทยได้ประโยชน์ทั้งการเป็นประเทศรายได้สูงและป้องกันการรุกราน ได้แก่

(1) ไทยเป็นครัวโลก (Food Insurance Hub) แนวคิดของผมคือ ใช้ความ

ได้เปรียบด้านอาหารและเกษตรเป็น “หลักประกันทางภูมิรัฐศาสตร์” หากเกิดสงคราม ทุกฝ่ายยังต้องพึ่งพาไทยในฐานะฮับอาหารโลก การทำให้ประเทศอื่น “ขาดไทยไม่ได้” ด้านอาหาร จะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ไทยถูกทำลายหรือโดดเดี่ยว เช่น ทำประกันซัพพลาย (supply insurance) ลงทุนร่วมกับไทยในการสร้าง คลังสำรองอาหารนานาชาติ (International Food Reserve) ในเขต EEC หรือท่าเรือน้ำลึก เป็นต้น

(2) ไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ (Medical Hub) ไทยศักยภาพด้านสาธารณสุข

และบุคลากรการแพทย์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆของเอเชีย ควรต่อยอดสู่การเป็นฮับการแพทย์โลก ไม่ว่าจะเพื่อการรักษาเชิงพาณิชย์หรือการแพทย์เพื่อมนุษยธรรม หลักคิดคือ “ทุกคนอยากรักษาคนที่นี่ แต่ไม่มีใครอยากเห็นสงครามเกิดบนแผ่นดินนี้” เช่น จีนส่งผู้สูงอายุและชนชั้นกลางมารักษาและพักฟื้นในไทย ขณะที่สหรัฐฯ และยุโรปมีบริษัทประกันสุขภาพที่ทำสัญญากับโรงพยาบาลไทย เป็นต้น

(3) ไทยเป็นกลางด้านการดูแลผู้สูงวัย (Elderly Care Hub) สร้างอุตสาหกรรม

การดูแลผู้สูงอายุที่ดึงทั้งการลงทุนและผู้ใช้บริการจากมหาอำนาจเข้ามา เช่น การจัดตั้ง “เมืองสุขสภาพนานาชาติ” หรือ “หมู่บ้านผู้เกษียณต่างชาติ” ที่เชื่อมโยงกับระบบบริการทางการแพทย์และประกันสุขภาพระดับสากล เพื่อดึงดูดผู้เกษียณจากสหรัฐฯ จีนและเอเชียให้เข้ามาพำนักระยะยาวในไทย โดยใช้โครงการ Jump Start Thailand ผ่านกลยุทธ์ Strategic Migration ตั้งเป้าดึงดูดผู้สูงวัยคุณภาพสูงจำนวน 1 ล้านคน เพื่อเสริมกำลังคนระดับ High-End และทักษะประสบการณ์ที่ไทยยังขาดแคลน นอกจากนี้ยังควรพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานรองรับ Silver Economy ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงวัยทั่วโลก

(4) ไทยเป็นกลางด้านการท่องเที่ยว (Tourism Hub) คือ soft power ที่ไทย

ครองความได้เปรียบมหาศาล หากไทยทำให้มหาอำนาจเห็นประโยชน์ร่วมจากการท่องเที่ยวในไทย จะยิ่งลดแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น เปิดให้ทั้งจีนและสหรัฐฯ รวมถึงพันธมิตรของแต่ละฝ่ายเข้ามาลงทุนคู่ขนาน เช่น โรงแรม ศูนย์ผู้สูงอายุ หรือศูนย์ประชุม เป็นต้น

โดยสรุป การเลือกข้างย่อมทำให้ไทยเสี่ยงเสียสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ทางรอดของไทยจึงอยู่ที่ “ความเป็นกลางเชิงรุก” (Thai Neutrality) สร้าง “ผลประโยชน์ผูกพัน” จนทุกฝ่ายอยากเห็นไทยอยู่ตรงกลาง หากทำได้จริง ความเป็นกลางเชิงรุกจะไม่เพียงเป็นยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอด แต่ยังเป็น ยุทธศาสตร์ยกระดับไทยให้เป็นประเทศตัวเชื่อมที่ขาดไม่ได้ในเวทีโลก

[1] คมปทิต คงศักดิ์ศรีสกุล. (2566, 21 สิงหาคม). เทียบขนาดกองทัพและยุทโธปกรณ์ ‘สหรัฐฯ-จีน’. THE STANDARD. https://thestandard.co/usa-china-weapons/

[2] บีบีซีไทย. (2561, 14 กุมภาพันธ์). จีนสร้างกองทัพสมัยใหม่แข่งสหรัฐฯ. บีบีซีไทย. https://www.bbc.com/thai/international-43054894

[3] เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2564, 26 มกราคม). ประเทศไทย เมืองหลวงโลก 4 ด้าน. กรุงเทพธุรกิจ. https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/126811