ปรับโครงสร้างค้าจ่างแรงงานต้องมองให้รอบด้าน

เดลินิวส์

จากการที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาการปรับโครงสร้างค่าแรงในภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะการทำงานของแรงงานและความต้องการแรงงานในแต่ละกลุ่มอาชีพและแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งมีแนวคิดขยายการทดสอบวัดระดับฝีมือแรงงานในกลุ่มอาชีพต่างๆ เพื่อให้สามารถกำหนดค่าจ้างแรงงานตามระดับฝีมือแรงงาน รวมทั้งการหารือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน ด้วยการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน

ผมเห็นด้วยกับการดำเนินงานของ ส.อ.ท.ดังกล่าว เพราะสอดคล้องกับแนวคิดที่ผมได้เคยเสนอความเห็นไว้ในหลายวาระและเขียนเป็นบทความต่างๆ โดยเฉพาะบทความเรื่อง กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร..จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด เผยแพร่

ในเว็บไซต์ของผม เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2548 ซึ่งผมได้สะท้อนหลักการในการกำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานว่า อัตราค่าจ้างควรเป็นไปตามผลิตภาพและความต้องการแรงงานในแต่ละอุสาหกรรม โดยผมได้เสนอให้ปรับวิธีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำจำแนกรายอุตสาหกรรม เนื่องจากผมไม่เห็นด้วยกับการกำหนดอัตราค่าจ้าง (ขั้นต่ำ) ที่เท่ากันทุกอุตสาหกรรม ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักค่าจ้างที่เป็นธรรม (Fair wage) เพราะแรงงานแต่ละอุตสาหกรรมมีผลิตภาพแตกต่างกัน และในสภาพเศรษฐกิจ ณ เวลาหนึ่งๆ อุตสาหกรรมแต่ละประเภทมีการขยายตัวและชะลอตัวแตกต่างกัน ทำให้มีความต้องการแรงงานที่แตกต่างกัน การกำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานจึงควรพิจารณาจากผลิตภาพของแรงงานและความต้องการแรงงานในแต่ละอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ดี หลักการกำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานควรพิจารณาจากค่าครองชีพในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ด้วย ทั้งนี้ผมได้เสนอให้กระบวนการกำหนดค่าจ้าง (ขั้นต่ำ) ต้องพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจลงรายละเอียดมากกว่ารายจังหวัด โดยอาจแยกย่อยเป็นรายอำเภอ เนื่องจากแต่ละพื้นที่ในประเทศหรือแม้แต่ในจังหวัดเดียวกันอาจมีค่าครองชีพที่แตกต่างกัน การกำหนดให้แรงงานในอุตสาหกรรมเดียวกันมีค่าจ้างแรงงานเท่ากันทั้งประเทศหรือทั้งจังหวัดจึงไม่สอดคล้องกับต้นทุนการครองชีพของแรงงานในแต่ละพื้นที่ ซึ่งอาจทำให้การลงทุนภาคอุตสาหกรรมกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่ ไม่เกิดการกระจายตัวของการลงทุน และอาจทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในบางพื้นที่ แต่บางพื้นที่มีจำนวนแรงงานมากเกินความต้องการ

ทั้งนี้การปรับโครงสร้างค่าจ้างแรงงานของอุตสาหกรรมหนึ่งๆ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนั้นแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอื่นด้วย เพราะการเพิ่มอัตราค่าจ้างแรงงานของอุตสาหกรรมใดๆ อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนของอุตสาหกรรมอื่นในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน หรืออาจทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมอื่นที่อยู่นอกห่วงโซ่อุปทาน เพราะแรงงานจะย้ายเข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมที่มีค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น การปรับโครงสร้างค่าจ้างแรงงานยังส่งผลต่อเศรษฐกิจมหภาคซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคการผลิตด้วย

การกำหนดอัตราค่าจ้างจึงควรพิจารณาปัจจัยและผลกระทบรอบด้าน ผมเสนอว่า ส.อ.ท.ควรพัฒนาเครื่องมือในการวิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างค่าจ้างแรงงาน โดยเฉพาะการจัดทำแบบจำลองเศรษฐกิจ (economic model) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งจะทำให้สามารถประเมินผลดี-ผลเสียของการปรับอัตราค่าจ้าง และทำให้กระบวนการกำหนดอัตราค่าจ้างมีผลการศึกษาวิเคราะห์รองรับและมีความเป็นวิทยาศาสตร์ กล่าวคือไม่ต้องใช้ดุลพินิจหรืออำนาจต่อรองของภาคีต่าง ๆ แต่เกิดจากการคำนวณบนฐานทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และข้อมูลจริงทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ทั้งนั้น การเปลี่ยนแปลงของอัตราค่าจ้างแรงงานในระบบเศรษฐกิจนั้นย่อมเป็นไปตามกลไกตลาด (อุปสงค์-อุปทาน) การศึกษาการปรับโครงสร้างอัตราค่าจ้างแรงงานของ ส.อ.ท.ควรเป็นไปเพื่อทำให้ข้อมูลข่าวสารในตลาดแรงงานมีความสมบูรณ์ โดยการให้ข้อมูลหรือส่งสัญญาณให้กับผู้ประกอบการในการตัดสินใจกำหนดระดับค่าจ้างที่เหมาะสม และทำให้แรงงานมีข้อมูลในการตัดสินใจทำงานหรือเปลี่ยนงาน ซึ่งจะทำให้ตลาดแรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
https://www.kriengsak.com, kriengsak@kriengsak.com