ค่าจ้างขั้นต่ำ 250 บาท ทั่วประเทศ

คอลัมภ์ : การเมือง : ทัศนะวิจารณ์

เร็วๆ นี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ออกมาแสดงความเห็นด้วยกับแนวคิดนายกรัฐมนตรีที่ต้องการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 250 บาทต่อวัน อัตราเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นในการถกเถียงอย่างกว้างขวางในสื่อต่างๆ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยแรงงานส่วนใหญ่แสดงความเห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เนื่องจากตนเองได้รับประโยชน์ ขณะที่นักวิชาการและนักธุรกิจส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่ามีผลกระทบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า ซึ่งเป็นอาการที่คาดเดาได้แทบจะทุกครั้งที่มีการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ

สำหรับการโยนหินถามทางของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ มีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจที่จะหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันดังนี้

ควรขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 250 บาทหรือไม่?

ในความเห็นส่วนตัว ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน แรงงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำ ยังมีภาวะความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก โดยแรงงานไร้ฝีมือในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 6 จังหวัดได้รับค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 206 บาทต่อวัน ในขณะที่จังหวัดอื่นได้รับค่าจ้างลดหลั่นกันลงไป ถึงกระนั้น การขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมีปัจจัยและเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณาด้วยหลักการทางเศรษฐศาสตร์ กล่าวคือ แรงงานควรได้รับค่าจ้างเท่ากับผลผลิตส่วนเพิ่มที่แรงงานผลิตได้ (หรือผลิตภาพของแรงงาน) หรือหมายความว่า แรงงานควรได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น หากสามารถผลิตได้เพิ่มขึ้น

สำหรับข้อเสนอการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 250 บาทต่อวัน มีความเหมาะสมหรือไม่นั้น จึงควรพิจารณาว่าเป็นระดับค่าจ้างที่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพของแรงงานหรือไม่ หากแรงงานในระบบมีผลิตภาพเพิ่มขึ้นเหมาะสมกับค่าจ้าง 250 บาทต่อวัน รัฐบาลก็ควรขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามข้อเสนอนี้ แต่หากผลิตภาพของแรงงานต่ำกว่า ค่าจ้างขั้นต่ำก็ไม่ควรจะเพิ่มขึ้นถึง 250 บาทต่อวัน เพราะการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่าการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงานในช่วงเวลาหนึ่งๆ นั้น เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ผู้ผลิต โดยทำให้ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น โดยผลผลิตไม่เพิ่มขึ้นมากนัก ผู้ผลิตอาจหันไปลงทุนในเทคโนโลยีมากขึ้น หรืออาจหันไปใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่มีราคาถูกกว่า ซึ่งทำให้แรงงานไทยมีการว่างงานเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ผู้สนับสนุนการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 250 บาทต่อวันทันที โดยให้เหตุผลว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงานถึงประมาณ 4 เท่านั้น ผมเห็นว่าการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างอย่างรวดเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมา เนื่องจากระดับราคาสินค้าสูงขึ้นจากการที่แรงงานมีราคาแพงขึ้น และที่สำคัญ ยังอาจทำให้แรงงานที่มีอยู่ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาความรู้ความสามารถเพื่อที่จะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย เนื่องจากไม่ต้องทำอะไร ก็ได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำควรพิจารณาถึงภาวะของตลาดแรงงานด้วย เพราะค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่สอดคล้องกับระดับค่าจ้างที่เป็นไปตามกลไกตลาดนั้น จะไม่มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้ หรือหากภาครัฐสามารถบังคับให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างตามค่าแรงขั้นต่ำได้จริง แต่ค่าจ้างขั้นต่ำกลับสูงกว่าอัตราค่าจ้างในท้องตลาด จะเป็นการผลักดันให้นายจ้างต้องลดการจ้างงานในระบบลง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการว่างงานมากขึ้น หรือทำให้แรงงานต้องออกไปอยู่นอกระบบมากขึ้น

ควรกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำอัตราเดียวกันทั่วประเทศหรือไม่?

ประเด็นนี้ผมเห็นว่าไม่มีความจำเป็น เนื่องจากผลิตภาพของแรงงานและความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทุกจังหวัด จึงไม่สอดคล้องกับต้นทุนการครองชีพของแรงงานในแต่ละพื้นที่ ซึ่งอาจทำให้การลงทุนภาคอุตสาหกรรมกระจุกตัวอยู่ใน กทม. และปริมณฑลมากขึ้น ไม่เกิดการกระจายตัวของการลงทุนไปยังต่างจังหวัด และทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานใน กทม. แต่แรงงานในต่างจังหวัดกลับมีจำนวนแรงงานมากเกินความต้องการ ซึ่งจะทำให้เกิดการอพยพของแรงงานเข้ามาทำงานใน กทม. มากขึ้นไปอีก

แม้ว่าผู้สนับสนุนการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศได้ให้เหตุผล ว่า ค่าครองชีพในต่างจังหวัดสูงกว่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยอ้างถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางและราคาสินค้า เพราะสินค้าส่วนใหญ่ผลิตจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้วขนส่งไปยังต่างจังหวัด แม้เหตุผลนี้ อาจเป็นจริงก็ตาม แต่ผมเห็นว่าค่าใช้จ่ายของแรงงานแต่ละคนยังมีค่าใช้จ่ายด้านที่พักอาศัย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่มีสัดส่วนสูง และเป็นต้นทุนการครองชีพที่สูงมากสำหรับแรงงานในเมือง เมื่อเทียบกับค่าเช่าบ้านในต่างจังหวัดที่ค่อนข้างต่ำ และถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางในต่างจังหวัดจะสูงกว่าใน กทม. แต่อาจถูกชดเชยโดยการไม่เสียค่าที่พัก เพราะแรงงานสามารถพักอาศัยที่บ้านของตนเองได้ นอกจากนี้ แรงงานในต่างจังหวัดยังมีโอกาสลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ได้อีก เช่น การหาอาหารได้จากแหล่งอาหารตามธรรมชาติ เป็นต้น

สำหรับผมแล้ว ผมเคยนำเสนอแนวคิดของผมเกี่ยวกับระบบการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำไว้ในบทความเรื่อง “กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร…จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด” เผยแพร่ในเว็บไซต์ของผม เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2548 ซึ่งโดยสรุปแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่ภาครัฐควรทำในเรื่องนี้ คือ

พัฒนาเครื่องมือในการวิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างค่าจ้างแรงงาน โดยเฉพาะการจัดทำแบบจำลองเศรษฐกิจ (Economic model) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจต่างๆ โดยมีการคำนึงถึงประเด็นเรื่องผลิตภาพของแรงงานอย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้สามารถประเมินผลดี-ผลเสียของการปรับอัตราค่าจ้าง และทำให้กระบวนการกำหนดอัตราค่าจ้างมีผลการศึกษาวิเคราะห์รองรับและมีความเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องใช้ดุลพินิจ หรืออำนาจต่อรองของภาคีต่างๆ แต่เกิดจากการคำนวณบนฐานทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และข้อมูลจริงทางเศรษฐกิจ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความสงสัยของสังคม รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างนายจ้างและลูกจ้างได้อีกด้วย?

กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำรายอำเภอและรายอุตสาหกรรม ตามที่ได้อธิบายเหตุผลไปข้างต้นว่าไม่ควรกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทุกพื้นที่และทุกอุตสาหกรรม ยิ่งกว่านั้น ผมคิดว่าควรให้เจาะจงในรายพื้นที่ ซึ่งหากมีการพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจลงรายละเอียดมากกว่ารายจังหวัด โดยอาจแยกย่อยเป็นรายอำเภอได้จะยิ่งดี เนื่องจากแต่ละพื้นที่ในประเทศหรือแม้แต่ในจังหวัดเดียวกัน อาจมีค่าครองชีพแตกต่างกัน การพิจารณาข้อมูลลงลึกรายอำเภอ จะสะท้อนต้นทุนแรงงานที่แท้จริงได้ดีกว่า?

โดยสรุปแล้วการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐในลักษณะนี้ จะเป็นประเด็นถกเถียงและอภิปรายเรื่อยไปในทุกครั้ง หากยังคงระบบและวิธีการแบบเดิมเอาไว้ ซึ่งอาจเป็นวิธีการที่ “ง่าย” กว่าการแก้ไข ซึ่งต้องลงแรง อีกทั้งยัง “ได้คะแนนเสียง” จากประชาชน (แม้ว่าค่าจ้างจะขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม)?

ผมหวังว่าผมจะได้เห็นการช่วยเหลือประชาชนที่แท้จริงจากภาครัฐมากกว่าการให้ความหวังแก่ประชาชนไปวันๆ เท่านั้น

 

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com