คอลัมภ์ : การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
ไม่นานมานี้ ตัวแทนจากภาคเอกชนได้ออกมาแถลงถึงผลการคาดการณ์ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จากการเข้ายึดพื้นที่ในบริเวณย่านราชประสงค์ของนปช. ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายนจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมีมูลค่า 5,244 ล้านบาท/เดือน หรือ 174 ล้านบาท/วัน นอกจากการปิดให้บริการของโรงแรม ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และร้านค้ารายย่อยกว่าพันรายแล้ว ผลกระทบดังกล่าวยังส่งผลให้ลูกจ้างหลายพันราย ต้องขาดรายได้เลี้ยงชีพในแต่ละวันอีกด้วย?
ภาครัฐได้เห็นถึงปัญหาและความยากลำบากของผู้ที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ จึงได้พยายามที่จะออกมาตรการให้ความช่วย
เหลือ โดยการให้เงินชดเชยแก่ผู้ได้รับผลกระทบ แต่จากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรียังไม่เห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเห็นว่ามาตรการช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท จำนวน 20,000 คน รายละ 3,000 บาทนั้นยังไม่สามารถให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนได้จริง จึงให้กระทรวงแรงงาน และคณะทำงานกลับไปกำหนดกรอบการช่วยเหลือมาพิจารณากันใหม่อีกครั้งหากพิจารณาย้อนกลับไปเกี่ยวกับการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นจากโครงการของรัฐ การเปิดเสรีทางการค้า หรือภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้น เราจะเห็นปัญหาบางประการที่เกิดขึ้นเสมอ นั่นคือ?
การขาดความโปร่งใส
เรามักจะเห็นภาครัฐและเอกชนออกมาเปิดเผยข้อมูลตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้น และมาตรการชดเชยอยู่เป็นปกติ แต่ว่ามักจะไม่ได้เห็นสมมติฐาน ที่มาที่ไป หรือตรรกะที่อยู่เบื้องหลังข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นเพราะตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง หรืออาจมีวิธีการที่ชัดเจน แต่ไม่ได้เปิดเผย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด วิธีการที่ผ่านมาเป็นการไม่เปิดโอกาสให้สังคมได้ตรวจสอบ ประกอบกับในภาคประชาสังคมยังไม่มีกลุ่มองค์กรใดที่ตื่นตัวกับเรื่องนี้มากเท่าไรเช่นกัน ?
ความล่าช้าและไม่ทันต่อความต้องการ
สาเหตุที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ เช่น การเจรจาตกลงกันไม่ได้ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่ได้รับความเสียหาย การรอการตรวจสอบจากคณะกรรมการแก้ไขปัญหา การอนุมัติงบประมาณล่าช้า ปัญหาเรื่องการขาดข้อมูลของผู้ได้รับผลกระทบ เช่น ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือกลุ่มใด มีจำนวนเท่าไร ได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด หรือแม้แต่การขาดกระบวนการที่ชัดเจนในการให้ความช่วยเหลือ ทำให้ต้องมีการพิจารณาทบทวนไปมา ซึ่งทำให้การช่วยเหลือไม่ทันกาล?
ที่ได้กล่าวไปนั้นเป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจในสถานการณ์ต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากการดูแลผู้ได้รับผลกระทบนั้นส่วนหนึ่งถือเป็นหน้าที่ของรัฐ นอกจากนี้ ยังเกี่ยวข้องกับคนทั้งประเทศด้วย เนื่องจากเป็นการนำเงินภาษีของคนทั้งประเทศไปชดเชยให้แก่คนบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ? ?
ผมอยากเสนอให้ภาครัฐจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบ โดยมีการจัดสรรงบประมาณดำเนินการจำนวนหนึ่งให้ เพื่อจะสามารถอนุมัติเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอขั้นตอนตามปกติซึ่งอาจล่าช้า หน่วยงานนี้จะทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อจะคำนวณและจ่ายเงินช่วยเหลือให้ถูกคน ถูกกลุ่ม ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อพิจารณาว่าผู้เรียกร้องนั้นเรียกร้องเกินจริงหรือไม่ นอกจากนี้ หน่วยงานนี้ยังต้องมีการจัดทำแบบแผนที่ชัดเจน ให้สามารถดำเนินตามขั้นตอนได้ โปร่งใส และรวดเร็ว กำหนดวันเวลาที่จะได้รับความช่วยเหลืออย่างชัดเจน เช่น ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่ ครม. อนุมัติ เป็นต้น อีกทั้งต้องรายงานการเบิกจ่ายเงินแก่ผู้ได้รับผลกระทบต่อรัฐสภาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความโปร่งใส เป็นต้น?
การจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบชัดเจนจะช่วยให้ภาคประชาสังคม สามารถช่วยตรวจสอบการทำงานได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่ต้องตรวจสอบหลายหน่วยงาน ที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบยังรู้ได้ชัดเจนว่า เมื่อได้รับผลกระทบจะไปเรียกร้องได้ที่หน่วยงานใด อย่างไร ?
สำหรับภาครัฐแล้วแม้ว่าวิธีการที่ดีที่สุด คือ การป้องกันปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วคงไม่สามารถป้องกันทุกปัญหาที่เกิดขึ้นได้ การมีระบบที่ดีในการดูแลประชาชน เมื่อปัญหาเกิดขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com