เดลินิวส์
แนวคิดเรื่องการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มกลายเป็นประเด็นถกเถียงขึ้นมาในช่วงเวลาไม่นานมานี้ จากการที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลังออกมาเปิดเผยว่ากำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี โดยเฉพาะการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7 ในปัจจุบัน เป็นร้อยละ 8 โดยระบุว่าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และเพื่อให้สอดคล้องกับรายจ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น เพื่อจะไม่กระทบฐานะการคลังในอนาคต แท้จริงแล้วตามกฎหมายประมวลรัษฎากรนั้นกำหนดให้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 แต่ในปี 2542 ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มโดยจัดเก็บเพียงร้อยละ 7 โดยพระราชกฤษฎีกานี้มีการต่ออายุมาแล้วหลายครั้ง ครั้งล่าสุดนี้กำลังจะหมดอายุในวันที่ 30 กันยายน 2553 ทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มถูกจัดเก็บที่อัตราร้อยละ 7 จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลารวมแล้ว 11 ปี
อย่างไรก็ตามเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกจัดเก็บอัตราร้อยละ 7 ต่อไปโดยจะไม่มีการปรับขึ้นทั้งในปีนี้และปีหน้าตามที่นายกรัฐมนตรีออกมายืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็น เพราะประเทศไทยขณะนี้อยู่ในช่วงที่กำลังประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากกระแสข่าวในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ผมมีความคิดเห็นดังต่อไปนี้
ไม่ควรขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
แม้ว่าภาษีมูลเพิ่มจะมีข้อดีคือ จัดเก็บง่าย หลบเลี่ยงยาก ทำให้รัฐเก็บภาษีได้เต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมารายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของภาครัฐ แต่ผมคิดว่าภาครัฐไม่ควรขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นเป็นภาษีทางอ้อมซึ่งจัดเก็บจากผู้ผลิต แต่ผู้ผลิตสามารถที่จะผลักภาระภาษีนี้ไปให้ผู้บริโภคได้โดยการขึ้นราคาสินค้า ทำให้ผู้บริโภคไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจนจะต้องรับภาระในการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย แต่ว่าในกรณีนี้คนยากจนจะต้องรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มมากกว่า เนื่องจากอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่คนจนต้องจ่ายเมื่อเทียบกับรายได้นั้นสูงกว่าคนรวย การขึ้นภาษีมูลค่าจะเป็นการเพิ่มภาระให้แก่คนยากจนในระยะยาว ทั้ง ๆ ที่มีภาษีอีกหลายประเภทที่รัฐสามารถจัดเก็บเพิ่มเติมได้โดยไม่กระทบคนจนมากนัก อีกทั้งช่วยในการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำ เช่น ภาษีมรดก หรือภาษีสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
นอกจากนี้ผมเห็นด้วยว่าการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเวลานี้อาจทำให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวนั้นชะลอตัวลง ช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจฟื้นตัวจากปัจจัยเรื่องการส่งออกเป็นหลักประกอบกับการลงทุนของภาครัฐแต่หากต้องการให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืนต้องเพิ่มอุปสงค์ในประเทศ นั่นคือการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มอาจส่งผลในการชะลอการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนและทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน
ควรมีกลไกการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับคนจน
ปัจจุบันคนจนไม่ได้รับการยกเว้นมูลค่าเพิ่มและมีอัตราภาษีต่อรายได้สูงกว่าคนรวย ซึ่งขัดแย้งกับหลักการเก็บภาษีที่ดี นั่นคือ ระบบภาษีแบบอัตราก้าวหน้า (Progressive tax) ซึ่งจัดเก็บภาษีอัตราสูงขึ้นสำหรับผู้ที่มีรายได้มากขึ้น ในขณะที่คนยากจนจ่ายในอัตราที่ต่ำกว่าหรือได้รับการยกเว้นภาษี แม้ว่าในปัจจุบันภาษีรายได้ซึ่งเป็นภาษีทางตรงจะจัดเก็บแบบอัตราก้าวหน้าอยู่แล้วก็ตาม
ดังนั้นผมคิดว่าจึงควรมีกลไกที่ทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มมีลักษณะเป็นอัตราก้าวหน้า เพื่อให้เกิดผลดีต่อการกระจายรายได้ ซึ่งผมเสนอให้มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่คนจน และเพื่อให้เป็นประโยชน์และเป็นสวัสดิการแก่คนจนในระยะยาว อาจคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกลับไปในลักษณะของเงินออมในระยะยาว
แนวคิดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากปัจจุบันมีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวที่มาซื้อของในประเทศไทยอยู่แล้ว เพียงแต่การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับคนจนนั้นยังไม่มีใครเคยเสนอมาก่อน (ผมเคยเสนอแนวคิดเรื่องนี้ไว้ สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง “แปลง VAT ให้เป็นเงินออมของคนจน” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเมื่อ 28 พ.ค.และ 11 มิ.ย.2551) ในทางปฏิบัติต้องมีการออกแบบระบบเพื่อปิดช่องโหว่และเพื่อสร้างความเป็นธรรม
ผมเสนอว่ามูลค่าเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มควรมีเพดานอยู่ที่ระดับหนึ่ง และมูลค่าเงินคืนภาษีควรลดลงตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นจนเหลือศูนย์เมื่อรายได้มากถึงระดับหนึ่ง ส่วนจะคืนภาษีในอัตราเท่าไรนั้น ต้องทำการศึกษาวิจัยเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบทั้งต่อผู้รับประโยชน์และฐานะการคลังต่อไป เงินคืนภาษีอาจถูกโอนเข้าไปรวมกับเงินออมชราภาพที่มีอยู่ในกองทุนประกันสังคมอยู่แล้วหรือสำนักงานประกันสังคมอาจเปิดบัญชีพิเศษให้กับผู้ประกันตน โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้โอนเงินคืนภาษีเข้าสู่บัญชีของผู้ประกันตน เป็นต้น
เนื่องจากแนวคิดนี้เป็นแนวคิดใหม่ จึงยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องพิจารณา เช่น จะบริหารจัดการอย่างไรไม่ให้มีต้นทุนมากเกินไป จะนำแรงงานนอกระบบเข้ามาได้อย่างไร เนื่องจากมีปัญหาว่าเราจะสามารถรับรู้รายได้ที่แน่ชัดของคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร ฯลฯ แต่หากสามารถนำแนวคิดไปปฏิบัติได้จริงจะเป็นประโยชน์ต่อคนยากจนในประเทศอย่างยิ่ง
ภาษีเป็นเครื่องมือของรัฐที่มีประสิทธิภาพซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์หลายประการ รัฐไม่ควรใช้เป็นเพียงเครื่องมือในการหารายได้หรือสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองเท่านั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับการใช้นโยบายภาษีเพื่อการพัฒนาเป็นสำคัญ
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาลมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
https://www.kriengsak.com , kriengsak@kriengsak.com