คอลัมน์ : ดร.แดน มองต่างแดน
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการกำกับทิศทางแผนงานสนับสนุนการขับ เคลื่อนสังคมด้วยดัชนีความก้าวหน้าของชาติ ในฐานะกรรมการท่านหนึ่งที่ได้รับเชิญจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อนงานนี้
สสส.ได้รับการสนับสนุนจากรัฐให้พัฒนาตัวชี้วัด ซึ่งสามารถวัดความก้าวหน้าของประเทศได้อย่างแท้จริง ซึ่งมากไปกว่าการวัดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยจีดีพีที่อาจจะไม่ได้ สะท้อนถึงมิติการกระจายรายได้ ไม่ได้สะท้อนถึงสวัสดิการ
สังคมที่มีให้แก่ประชาชน ไม่ได้สะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาเศรษฐกิจ และไม่ได้บอกว่าสังคมมีความเป็นธรรม หรือเอื้ออาทรต่อกันหรือไม่
ผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้เป็นอย่างยิ่ง เป็นเวลานานหลายปีมาแล้วที่ผมได้เสนอแนะให้มีการจัดทำดัชนีวัดความอยู่ดีมี สุข (National well being index) เพื่อกำกับการทำงานของประเทศในทุกเรื่องและทุกหน่วยงาน เพื่อจะเห็นประเทศถูกขับเคลื่อนไปในทุกมิติอย่างแท้จริง ส่วนดัชนีความก้าวหน้าของชาตินั้น ผมได้เคยเสนอความเห็นในเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งในช่วงแรกที่ สสส.มีแนวคิดเรื่องนี้ออกมาผ่านทางบทความเรื่อง “การจัดทำดัชนีความก้าวหน้าของประเทศ” ในหนังสือพิมพ์โกลบอลบิซิเนส ฉบับวันที่ 24-30 เมษายน 2552
ในการประชุมครั้งล่าสุดนั้น มีหลายประเด็นที่คณะกรรมการได้ร่วมอภิปรายกัน ผมคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านหากผมได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องนี้ โดยมีหลายสิ่งที่ผมเห็นว่าคณะกรรมการชุดนี้ควรดำเนินการหากต้องการพัฒนา ดัชนีความก้าวหน้าของชาติที่ใช้งานได้อย่างแท้จริง อาทิเช่น
การจัดทำเมทริกซ์เพื่อแสดงผู้มีส่วนได้เสียในมิติต่างๆ ให้ครบถ้วน
การพัฒนาดัชนีความก้าวหน้าของชาติเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย โดย สสส.ได้พยายามนำหน่วยงานที่สนใจและมีความห่วงใยในเรื่องนี้ หรือรับผิดชอบงานด้านที่เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลสถิติ ข้อมูลการพัฒนา รวมทั้งนักวิชาการ เครือข่ายสื่อ และเครือข่ายภาคประชาสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้งพยายามให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในการสร้างดัชนี นี้ด้วย ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดีและผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการเลือกผู้มีส่วนได้เสียในลักษณะนี้ อาจทำให้ได้กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียไม่ครบถ้วน อาจมีกลุ่มที่ไม่สนใจในประเด็นนี้มากนัก แต่มีความเกี่ยวข้อง และไม่ได้เข้ามาร่วม ดังนั้น ผมคิดว่าควรมีการจัดระบบผู้มีส่วนร่วมให้เป็นระบบ โดยการจัดทำ “เมทริกซ์ผู้มีส่วนได้เสีย” หรือตารางไขว้สำหรับบรรจุรายชื่อผู้มีส่วนได้เสียที่มีลักษณะตรงกับประเด็น ในมิติต่างๆ เช่น ภาคส่วนต่างๆ ประเด็นที่สนใจ (เช่น ความยากจนหรือสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน ฯลฯ) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พื้นที่ เป็นต้น (ดูตัวอย่างในตารางที่ 1) วิธีนี้จะทำให้เห็นภาพรวมของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดและเห็นช่องโหว่ ที่ยังขาด เพื่อจะสามารถนำกลุ่มคนต่างๆ เข้ามาร่วมกันขับเคลื่อนงานนี้ได้อย่างเหมาะสม
การนำฝ่ายการเมืองเข้ามาร่วมกับคณะทำงานตั้งแต่เริ่มต้น
ผมเห็นว่าการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้พยายามใช้ “ยุทธการป่าล้อมเมือง” คือ พยายามที่จะหว่านล้อมให้กลุ่มต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด แต่ดูเหมือนจะละเลยกลุ่มที่สำคัญไป นั่นคือ ฝ่ายการเมือง ซึ่งดูเหมือนจะถูกนำไปไว้ที่ชายขอบ ไม่ได้เกี่ยวข้องจนกว่างานจะสำเร็จ แล้วนำไปเสนอให้ฝ่ายการเมืองพิจารณา ผมเห็นว่าวิธีการที่ดีกว่า คือ คณะทำงานนี้ควรนำฝ่ายการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่บุคลากรฝ่ายการเมือง เมื่อดัชนีความก้าวหน้าได้รับการพัฒนาแล้วเสร็จและนำไปใช้ในภาคปฏิบัติ ฝ่ายการเมืองจะได้มีความเข้าใจ และขับเคลื่อนไปได้เต็มที่มากกว่า
การเชื่อมโยงกัน (Synchronization) ต้องมาจากทั้งบนลงล่างและล่างขึ้นบน
คณะกรรมการให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรอบแนวคิดและตัวชี้วัด ที่แสดงถึงความก้าวหน้าของประเทศและเหมาะสมกับบริบทของไทย ไม่เพียงเท่านั้น ผมเสนอว่าควรมีการจัดกระบวนการเชื่อมโยงจากล่างขึ้นบนและจากบนลงล่างให้มี ความสมดุล โดยคณะทำงานควรเชื่อมโยงข้อมูลจากคณะกรรมการและภาคีอื่นไปยังประชาชนมากขึ้น ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่เป็นสื่อกลาง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าถึงข้อมูลได้ระหว่างทางตลอดเวลา ทุกภาคีสามารถเข้าถึง วิพากษ์วิจารณ์ได้ เสนอแนะได้ ซึ่งจะช่วยให้การทำงานได้ผลมากขึ้นและเร็วขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้ ผมคิดว่าการสร้างวาทกรรมบางประการให้เกิดความสนใจในสังคมนั้นเป็นสิ่งที่จำ เป็นเช่นกัน เนื่องจากหากคนไม่เข้าใจสิ่งดีที่คณะทำงานพยายามทำนั้น เขาอาจไม่ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ การกระตุ้นความสนใจของสังคมสามารถทำได้ทันทีควบคู่ไปกับการวางกรอบและจัดทำ ดัชนี โดยไม่จำเป็นต้องรอจนดัชนีแล้วเสร็จ
ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การผลักดันวาระการจัดทำดัชนีในช่วงเวลาที่เหมาะสม กรอบเวลาในการขับเคลื่อนเป็นสิ่งสำคัญ ขณะนี้ การเมืองอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คณะกรรมการต้องติดตามสถานการณ์ว่าช่วงเวลาใดที่เสนอดัชนีแล้วแผนงานจะถูกขับ เคลื่อนมากสุด ซึ่งผมเชื่อว่าเวลาจะมาถึงในอีกไม่ช้า
การประชุมที่ผ่านมาเป็นเพียงครั้งแรกเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าดัชนีนี้จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ ผมหวังว่าสังคมไทยจะถูกขับเคลื่อนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านภาคส่วนต่างๆ ที่เข้ามาร่วมในการกระบวนการจัดทำดัชนีวัดความก้าวหน้าแห่งชาติในครั้งนี้
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, http://www.kriengsak.com
?