เดลินิวส์
คอลัมน์ แนวคิด ดร.แดน
มีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่สะดุดความคิดของผม เนื้อหาข่าวระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวคิดดึงนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบ โดยให้มาขึ้นทะเบียนกับ ธปท.ในการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลรายย่อยในระดับรากหญ้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน และสนับสนุนธุรกิจด้านสินเชื่อแก่บุคคลรายย่อยระดับรากหญ้า
เหตุที่ผมให้ความสนใจข่าวชิ้นนี้ เนื่องจากผมได้เสนอแนวคิดการนำเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบมาระยะหนึ่งแล้ว ตัวอย่างเช่น บทความเรื่อง ?การจดทะเบียนเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ? ในหนังสือ สะกิดคิดเรื่องเมืองไทย ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2547
แน่นอนว่า ผมจะเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวของ ธปท. อย่างไรก็ดี จากเนื้อหาของข่าวที่ระบุว่า ขณะนี้มีนายทุน 2-3 รายให้ความสนใจ ทำให้ดูเหมือนว่าโครงการนี้มีลักษณะที่ให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้าร่วมโดยสมัครใจ ซึ่งอาจทำให้เจ้าหนี้ที่ถูกดึงเข้ามาอยู่ในระบบมีจำนวนน้อยมาก จนทำให้ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการได้
การที่เจ้าหนี้ส่วนหนึ่งอยู่นอกระบบ เพราะการอยู่นอกระบบมีต้นทุนและข้อจำกัดในการปล่อยกู้น้อยกว่าการเข้ามาอยู่ในระบบ เช่น ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของทางการ ไม่ต้องรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานที่กำกับดูแล และสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่ระบุไว้ในกฎหมาย เป็นต้น
การดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบจำเป็นต้องทำให้ต้นทุนการอยู่นอกระบบเพิ่มสูงขึ้น มีความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบและดำเนินคดีฐานละเมิดกฎหมายมากขึ้น (ในความเป็นจริง การหาตัวเจ้าหนี้นอกระบบไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสามารถถามจากลูกหนี้นอกระบบได้) หรือทำให้การเข้ามาอยู่ในระบบมีประโยชน์มากขึ้น เพื่อจูงใจและบังคับให้เจ้าหนี้ต้องมาจดทะเบียนเข้าสู่ในระบบ ซึ่งหมายความว่าการดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบควรดำเนินการทั้งระบบ ในลักษณะเป็นภาคบังคับมากกว่าสมัครใจ
อีกประเด็นหนึ่งที่เนื้อข่าวระบุไว้ คือ การทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้แก่ประชาชนรากหญ้าต้องไม่มีข้อจำกัดเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งผมเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ควรเป็นไปตามความเสี่ยงของผู้กู้ จึงไม่สามารถกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยได้ เพราะผู้กู้แต่ละคนมีความเสี่ยงที่หลากหลาย หากรัฐกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย เท่ากับว่า ทำให้ประชาชนรากหญ้าไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อยู่ดี แม้เจ้าหนี้จะเข้าสู่ระบบแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นหากเจ้าหนี้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่จำกัด โดยที่ภาครัฐไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่มีเครื่องมือช่วยในการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ หรือไม่มีมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ก็ไม่ช่วยลดภาระการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่เคยอยู่นอกระบบแต่อย่างใด
ทั้งนี้การที่ประชาชนรากหญ้าต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผู้กู้มีความเสี่ยงสูง ทั้งในแง่ของความยากจน การมีรายได้ไม่แน่นอน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ หรืออีกสาเหตุหนึ่ง คือ การที่ผู้ให้กู้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของผู้กู้ จึงทำให้สถาบันการเงินในระบบไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้คนกลุ่มนี้
ภาครัฐจึงควรดำเนินการพัฒนาระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะระบบเครดิตบูโรต้องปรับตัวไปเป็น “เครดิตบูโรแห่งชาติ” ซึ่งจะบันทึกข้อมูลเครดิตของประชาชนทุกคนว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไร เป็นใครเป็นเจ้าหนี้บ้าง และประวัติการชำระหนี้เป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินและผู้ให้กู้มีข้อมูลเครดิตของประชาชนรากหญ้า ทำให้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้กู้แต่ละคน คนรากหญ้าที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีจะสามารถเข้าถึงเงินกู้ในระบบที่มีดอกเบี้ยต่ำลงได้ ในขณะที่ภาครัฐเองจะมีข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ทุกคน ทำให้สามารถกำหนดนโยบายเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้มากขึ้น อาทิ ธนาคารของรัฐจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนรากหญ้า การสนับสนุนสถาบันการออมของชุมชน (เช่น สหกรณ์ ธนาคารหมู่บ้าน) การพัฒนาระบบสวัสดิการเพื่อลดความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วน ฯลฯ
การขึ้นทะเบียนเจ้าหนี้นอกระบบจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในกระบวนการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แต่การนำเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงจำเป็นต้องดำเนินการในลักษณะของชุดของนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบมีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่สะดุดความคิดของผม เนื้อหาข่าวระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวคิดดึงนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบ โดยให้มาขึ้นทะเบียนกับ ธปท.ในการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลรายย่อยในระดับรากหญ้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน และสนับสนุนธุรกิจด้านสินเชื่อแก่บุคคลรายย่อยระดับรากหญ้า
เหตุที่ผมให้ความสนใจข่าวชิ้นนี้ เนื่องจากผมได้เสนอแนวคิดการนำเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบมาระยะหนึ่งแล้ว ตัวอย่างเช่น บทความเรื่อง ?การจดทะเบียนเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ? ในหนังสือ สะกิดคิดเรื่องเมืองไทย ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2547
แน่นอนว่า ผมจะเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวของ ธปท. อย่างไรก็ดี จากเนื้อหาของข่าวที่ระบุว่า ขณะนี้มีนายทุน 2-3 รายให้ความสนใจ ทำให้ดูเหมือนว่าโครงการนี้มีลักษณะที่ให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้าร่วมโดยสมัครใจ ซึ่งอาจทำให้เจ้าหนี้ที่ถูกดึงเข้ามาอยู่ในระบบมีจำนวนน้อยมาก จนทำให้ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการได้
การที่เจ้าหนี้ส่วนหนึ่งอยู่นอกระบบ เพราะการอยู่นอกระบบมีต้นทุนและข้อจำกัดในการปล่อยกู้น้อยกว่าการเข้ามาอยู่ในระบบ เช่น ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของทางการ ไม่ต้องรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานที่กำกับดูแล และสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่ระบุไว้ในกฎหมาย เป็นต้น
การดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบจำเป็นต้องทำให้ต้นทุนการอยู่นอกระบบเพิ่มสูงขึ้น มีความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบและดำเนินคดีฐานละเมิดกฎหมายมากขึ้น (ในความเป็นจริง การหาตัวเจ้าหนี้นอกระบบไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสามารถถามจากลูกหนี้นอกระบบได้) หรือทำให้การเข้ามาอยู่ในระบบมีประโยชน์มากขึ้น เพื่อจูงใจและบังคับให้เจ้าหนี้ต้องมาจดทะเบียนเข้าสู่ในระบบ ซึ่งหมายความว่าการดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบควรดำเนินการทั้งระบบ ในลักษณะเป็นภาคบังคับมากกว่าสมัครใจ
อีกประเด็นหนึ่งที่เนื้อข่าวระบุไว้ คือ การทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้แก่ประชาชนรากหญ้าต้องไม่มีข้อจำกัดเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งผมเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ควรเป็นไปตามความเสี่ยงของผู้กู้ จึงไม่สามารถกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยได้ เพราะผู้กู้แต่ละคนมีความเสี่ยงที่หลากหลาย หากรัฐกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย เท่ากับว่า ทำให้ประชาชนรากหญ้าไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อยู่ดี แม้เจ้าหนี้จะเข้าสู่ระบบแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นหากเจ้าหนี้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่จำกัด โดยที่ภาครัฐไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่มีเครื่องมือช่วยในการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ หรือไม่มีมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ก็ไม่ช่วยลดภาระการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่เคยอยู่นอกระบบแต่อย่างใด
ทั้งนี้การที่ประชาชนรากหญ้าต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผู้กู้มีความเสี่ยงสูง ทั้งในแง่ของความยากจน การมีรายได้ไม่แน่นอน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ หรืออีกสาเหตุหนึ่ง คือ การที่ผู้ให้กู้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของผู้กู้ จึงทำให้สถาบันการเงินในระบบไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้คนกลุ่มนี้
ภาครัฐจึงควรดำเนินการพัฒนาระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะระบบเครดิตบูโรต้องปรับตัวไปเป็น “เครดิตบูโรแห่งชาติ” ซึ่งจะบันทึกข้อมูลเครดิตของประชาชนทุกคนว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไร เป็นใครเป็นเจ้าหนี้บ้าง และประวัติการชำระหนี้เป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินและผู้ให้กู้มีข้อมูลเครดิตของประชาชนรากหญ้า ทำให้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้กู้แต่ละคน คนรากหญ้าที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีจะสามารถเข้าถึงเงินกู้ในระบบที่มีดอกเบี้ยต่ำลงได้ ในขณะที่ภาครัฐเองจะมีข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ทุกคน ทำให้สามารถกำหนดนโยบายเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้มากขึ้น อาทิ ธนาคารของรัฐจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนรากหญ้า การสนับสนุนสถาบันการออมของชุมชน (เช่น สหกรณ์ ธนาคารหมู่บ้าน) การพัฒนาระบบสวัสดิการเพื่อลดความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วน ฯลฯ
การขึ้นทะเบียนเจ้าหนี้นอกระบบจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในกระบวนการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แต่การนำเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงจำเป็นต้องดำเนินการในลักษณะของชุดของนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบมีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่สะดุดความคิดของผม เนื้อหาข่าวระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวคิดดึงนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบ โดยให้มาขึ้นทะเบียนกับ ธปท.ในการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลรายย่อยในระดับรากหญ้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน และสนับสนุนธุรกิจด้านสินเชื่อแก่บุคคลรายย่อยระดับรากหญ้า
เหตุที่ผมให้ความสนใจข่าวชิ้นนี้ เนื่องจากผมได้เสนอแนวคิดการนำเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบมาระยะหนึ่งแล้ว ตัวอย่างเช่น บทความเรื่อง ?การจดทะเบียนเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ? ในหนังสือ สะกิดคิดเรื่องเมืองไทย ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2547
แน่นอนว่า ผมจะเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวของ ธปท. อย่างไรก็ดี จากเนื้อหาของข่าวที่ระบุว่า ขณะนี้มีนายทุน 2-3 รายให้ความสนใจ ทำให้ดูเหมือนว่าโครงการนี้มีลักษณะที่ให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้าร่วมโดยสมัครใจ ซึ่งอาจทำให้เจ้าหนี้ที่ถูกดึงเข้ามาอยู่ในระบบมีจำนวนน้อยมาก จนทำให้ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการได้
การที่เจ้าหนี้ส่วนหนึ่งอยู่นอกระบบ เพราะการอยู่นอกระบบมีต้นทุนและข้อจำกัดในการปล่อยกู้น้อยกว่าการเข้ามาอยู่ในระบบ เช่น ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของทางการ ไม่ต้องรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานที่กำกับดูแล และสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่ระบุไว้ในกฎหมาย เป็นต้น
การดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบจำเป็นต้องทำให้ต้นทุนการอยู่นอกระบบเพิ่มสูงขึ้น มีความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบและดำเนินคดีฐานละเมิดกฎหมายมากขึ้น (ในความเป็นจริง การหาตัวเจ้าหนี้นอกระบบไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสามารถถามจากลูกหนี้นอกระบบได้) หรือทำให้การเข้ามาอยู่ในระบบมีประโยชน์มากขึ้น เพื่อจูงใจและบังคับให้เจ้าหนี้ต้องมาจดทะเบียนเข้าสู่ในระบบ ซึ่งหมายความว่าการดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบควรดำเนินการทั้งระบบ ในลักษณะเป็นภาคบังคับมากกว่าสมัครใจ
อีกประเด็นหนึ่งที่เนื้อข่าวระบุไว้ คือ การทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้แก่ประชาชนรากหญ้าต้องไม่มีข้อจำกัดเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งผมเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ควรเป็นไปตามความเสี่ยงของผู้กู้ จึงไม่สามารถกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยได้ เพราะผู้กู้แต่ละคนมีความเสี่ยงที่หลากหลาย หากรัฐกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย เท่ากับว่า ทำให้ประชาชนรากหญ้าไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อยู่ดี แม้เจ้าหนี้จะเข้าสู่ระบบแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นหากเจ้าหนี้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่จำกัด โดยที่ภาครัฐไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่มีเครื่องมือช่วยในการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ หรือไม่มีมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ก็ไม่ช่วยลดภาระการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่เคยอยู่นอกระบบแต่อย่างใด
ทั้งนี้การที่ประชาชนรากหญ้าต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผู้กู้มีความเสี่ยงสูง ทั้งในแง่ของความยากจน การมีรายได้ไม่แน่นอน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ หรืออีกสาเหตุหนึ่ง คือ การที่ผู้ให้กู้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของผู้กู้ จึงทำให้สถาบันการเงินในระบบไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้คนกลุ่มนี้
ภาครัฐจึงควรดำเนินการพัฒนาระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะระบบเครดิตบูโรต้องปรับตัวไปเป็น “เครดิตบูโรแห่งชาติ” ซึ่งจะบันทึกข้อมูลเครดิตของประชาชนทุกคนว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไร เป็นใครเป็นเจ้าหนี้บ้าง และประวัติการชำระหนี้เป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินและผู้ให้กู้มีข้อมูลเครดิตของประชาชนรากหญ้า ทำให้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้กู้แต่ละคน คนรากหญ้าที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีจะสามารถเข้าถึงเงินกู้ในระบบที่มีดอกเบี้ยต่ำลงได้ ในขณะที่ภาครัฐเองจะมีข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ทุกคน ทำให้สามารถกำหนดนโยบายเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้มากขึ้น อาทิ ธนาคารของรัฐจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนรากหญ้า การสนับสนุนสถาบันการออมของชุมชน (เช่น สหกรณ์ ธนาคารหมู่บ้าน) การพัฒนาระบบสวัสดิการเพื่อลดความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วน ฯลฯ
การขึ้นทะเบียนเจ้าหนี้นอกระบบจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในกระบวนการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แต่การนำเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงจำเป็นต้องดำเนินการในลักษณะของชุดของนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบมีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่สะดุดความคิดของผม เนื้อหาข่าวระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวคิดดึงนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบ โดยให้มาขึ้นทะเบียนกับ ธปท.ในการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลรายย่อยในระดับรากหญ้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน และสนับสนุนธุรกิจด้านสินเชื่อแก่บุคคลรายย่อยระดับรากหญ้า
เหตุที่ผมให้ความสนใจข่าวชิ้นนี้ เนื่องจากผมได้เสนอแนวคิดการนำเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบมาระยะหนึ่งแล้ว ตัวอย่างเช่น บทความเรื่อง ?การจดทะเบียนเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ? ในหนังสือ สะกิดคิดเรื่องเมืองไทย ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2547
แน่นอนว่า ผมจะเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวของ ธปท. อย่างไรก็ดี จากเนื้อหาของข่าวที่ระบุว่า ขณะนี้มีนายทุน 2-3 รายให้ความสนใจ ทำให้ดูเหมือนว่าโครงการนี้มีลักษณะที่ให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้าร่วมโดยสมัครใจ ซึ่งอาจทำให้เจ้าหนี้ที่ถูกดึงเข้ามาอยู่ในระบบมีจำนวนน้อยมาก จนทำให้ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการได้
การที่เจ้าหนี้ส่วนหนึ่งอยู่นอกระบบ เพราะการอยู่นอกระบบมีต้นทุนและข้อจำกัดในการปล่อยกู้น้อยกว่าการเข้ามาอยู่ในระบบ เช่น ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของทางการ ไม่ต้องรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานที่กำกับดูแล และสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่ระบุไว้ในกฎหมาย เป็นต้น
การดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบจำเป็นต้องทำให้ต้นทุนการอยู่นอกระบบเพิ่มสูงขึ้น มีความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบและดำเนินคดีฐานละเมิดกฎหมายมากขึ้น (ในความเป็นจริง การหาตัวเจ้าหนี้นอกระบบไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสามารถถามจากลูกหนี้นอกระบบได้) หรือทำให้การเข้ามาอยู่ในระบบมีประโยชน์มากขึ้น เพื่อจูงใจและบังคับให้เจ้าหนี้ต้องมาจดทะเบียนเข้าสู่ในระบบ ซึ่งหมายความว่าการดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบควรดำเนินการทั้งระบบ ในลักษณะเป็นภาคบังคับมากกว่าสมัครใจ
อีกประเด็นหนึ่งที่เนื้อข่าวระบุไว้ คือ การทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้แก่ประชาชนรากหญ้าต้องไม่มีข้อจำกัดเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งผมเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ควรเป็นไปตามความเสี่ยงของผู้กู้ จึงไม่สามารถกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยได้ เพราะผู้กู้แต่ละคนมีความเสี่ยงที่หลากหลาย หากรัฐกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย เท่ากับว่า ทำให้ประชาชนรากหญ้าไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อยู่ดี แม้เจ้าหนี้จะเข้าสู่ระบบแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นหากเจ้าหนี้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่จำกัด โดยที่ภาครัฐไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่มีเครื่องมือช่วยในการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ หรือไม่มีมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ก็ไม่ช่วยลดภาระการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่เคยอยู่นอกระบบแต่อย่างใด
ทั้งนี้การที่ประชาชนรากหญ้าต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผู้กู้มีความเสี่ยงสูง ทั้งในแง่ของความยากจน การมีรายได้ไม่แน่นอน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ หรืออีกสาเหตุหนึ่ง คือ การที่ผู้ให้กู้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของผู้กู้ จึงทำให้สถาบันการเงินในระบบไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้คนกลุ่มนี้
ภาครัฐจึงควรดำเนินการพัฒนาระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะระบบเครดิตบูโรต้องปรับตัวไปเป็น “เครดิตบูโรแห่งชาติ” ซึ่งจะบันทึกข้อมูลเครดิตของประชาชนทุกคนว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไร เป็นใครเป็นเจ้าหนี้บ้าง และประวัติการชำระหนี้เป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินและผู้ให้กู้มีข้อมูลเครดิตของประชาชนรากหญ้า ทำให้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้กู้แต่ละคน คนรากหญ้าที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีจะสามารถเข้าถึงเงินกู้ในระบบที่มีดอกเบี้ยต่ำลงได้ ในขณะที่ภาครัฐเองจะมีข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ทุกคน ทำให้สามารถกำหนดนโยบายเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้มากขึ้น อาทิ ธนาคารของรัฐจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนรากหญ้า การสนับสนุนสถาบันการออมของชุมชน (เช่น สหกรณ์ ธนาคารหมู่บ้าน) การพัฒนาระบบสวัสดิการเพื่อลดความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วน ฯลฯ
การขึ้นทะเบียนเจ้าหนี้นอกระบบจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในกระบวนการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แต่การนำเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงจำเป็นต้องดำเนินการในลักษณะของชุดของนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบมีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่สะดุดความคิดของผม เนื้อหาข่าวระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวคิดดึงนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบ โดยให้มาขึ้นทะเบียนกับ ธปท.ในการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลรายย่อยในระดับรากหญ้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน และสนับสนุนธุรกิจด้านสินเชื่อแก่บุคคลรายย่อยระดับรากหญ้า
เหตุที่ผมให้ความสนใจข่าวชิ้นนี้ เนื่องจากผมได้เสนอแนวคิดการนำเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบมาระยะหนึ่งแล้ว ตัวอย่างเช่น บทความเรื่อง ?การจดทะเบียนเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ? ในหนังสือ สะกิดคิดเรื่องเมืองไทย ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2547
แน่นอนว่า ผมจะเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวของ ธปท. อย่างไรก็ดี จากเนื้อหาของข่าวที่ระบุว่า ขณะนี้มีนายทุน 2-3 รายให้ความสนใจ ทำให้ดูเหมือนว่าโครงการนี้มีลักษณะที่ให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้าร่วมโดยสมัครใจ ซึ่งอาจทำให้เจ้าหนี้ที่ถูกดึงเข้ามาอยู่ในระบบมีจำนวนน้อยมาก จนทำให้ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการได้
การที่เจ้าหนี้ส่วนหนึ่งอยู่นอกระบบ เพราะการอยู่นอกระบบมีต้นทุนและข้อจำกัดในการปล่อยกู้น้อยกว่าการเข้ามาอยู่ในระบบ เช่น ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของทางการ ไม่ต้องรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานที่กำกับดูแล และสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่ระบุไว้ในกฎหมาย เป็นต้น
การดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบจำเป็นต้องทำให้ต้นทุนการอยู่นอกระบบเพิ่มสูงขึ้น มีความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบและดำเนินคดีฐานละเมิดกฎหมายมากขึ้น (ในความเป็นจริง การหาตัวเจ้าหนี้นอกระบบไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสามารถถามจากลูกหนี้นอกระบบได้) หรือทำให้การเข้ามาอยู่ในระบบมีประโยชน์มากขึ้น เพื่อจูงใจและบังคับให้เจ้าหนี้ต้องมาจดทะเบียนเข้าสู่ในระบบ ซึ่งหมายความว่าการดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบควรดำเนินการทั้งระบบ ในลักษณะเป็นภาคบังคับมากกว่าสมัครใจ
อีกประเด็นหนึ่งที่เนื้อข่าวระบุไว้ คือ การทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้แก่ประชาชนรากหญ้าต้องไม่มีข้อจำกัดเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งผมเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ควรเป็นไปตามความเสี่ยงของผู้กู้ จึงไม่สามารถกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยได้ เพราะผู้กู้แต่ละคนมีความเสี่ยงที่หลากหลาย หากรัฐกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย เท่ากับว่า ทำให้ประชาชนรากหญ้าไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อยู่ดี แม้เจ้าหนี้จะเข้าสู่ระบบแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นหากเจ้าหนี้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่จำกัด โดยที่ภาครัฐไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่มีเครื่องมือช่วยในการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ หรือไม่มีมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ก็ไม่ช่วยลดภาระการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่เคยอยู่นอกระบบแต่อย่างใด
ทั้งนี้การที่ประชาชนรากหญ้าต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผู้กู้มีความเสี่ยงสูง ทั้งในแง่ของความยากจน การมีรายได้ไม่แน่นอน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ หรืออีกสาเหตุหนึ่ง คือ การที่ผู้ให้กู้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของผู้กู้ จึงทำให้สถาบันการเงินในระบบไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้คนกลุ่มนี้
ภาครัฐจึงควรดำเนินการพัฒนาระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะระบบเครดิตบูโรต้องปรับตัวไปเป็น “เครดิตบูโรแห่งชาติ” ซึ่งจะบันทึกข้อมูลเครดิตของประชาชนทุกคนว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไร เป็นใครเป็นเจ้าหนี้บ้าง และประวัติการชำระหนี้เป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินและผู้ให้กู้มีข้อมูลเครดิตของประชาชนรากหญ้า ทำให้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้กู้แต่ละคน คนรากหญ้าที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีจะสามารถเข้าถึงเงินกู้ในระบบที่มีดอกเบี้ยต่ำลงได้ ในขณะที่ภาครัฐเองจะมีข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ทุกคน ทำให้สามารถกำหนดนโยบายเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้มากขึ้น อาทิ ธนาคารของรัฐจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนรากหญ้า การสนับสนุนสถาบันการออมของชุมชน (เช่น สหกรณ์ ธนาคารหมู่บ้าน) การพัฒนาระบบสวัสดิการเพื่อลดความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วน ฯลฯ
การขึ้นทะเบียนเจ้าหนี้นอกระบบจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในกระบวนการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แต่การนำเจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงจำเป็นต้องดำเนินการในลักษณะของชุดของนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบ
ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com