ตั้งแต่ปลายปี 2019 โลกได้ผลกระทบจากการแพร่กระจายของโรคระบาดอย่างหนัก โดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว เป็นผลมาจากรัฐบาลทั่วโลกพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจำนวนเงินกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลกต่อเนื่องจากปี 2020 สูงถึง 7.9 ล้านล้านดอลล่าสหรัฐฯ และมีโอกาสจะเพิ่มสูงขึ้นอีก รวมทั้งการเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมใหม่หลังโรคระบาดและการค้นพบวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส ซึ่งทำให้ความกังวลในติดโรคระบาดลดลงไปอย่างมาก
.
เช่นเดียวกันกับโลก เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ เป็นผลมาจากการคลายล็อคดาวน์และการเพิ่มค่าใช้จ่ายและการลงทุนของรัฐ
ในอนาคตที่จะมาถึง เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวรวดเร็วขึ้นอีก หากภาครัฐกิจ ธุรกิจ ประชากิจของไทยมองเห็นและสามารถคว้าโอกาสจากปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งได้แก่
1. โอกาสจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากโรคระบาดแตกต่างจากวิกฤตที่ผ่านมา เพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นทั่วโลก แทบทุกประเทศได้รับผลกระทบ จนทำให้แต่ละประเทศต้องใช้นโยบายจำกัดการนำเข้า (Nationalism and Protectionism) จนแทบไม่มีประเทศใดมีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกยังมีโอกาสจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เพราะแม้จีนจะเป็นประเทศแรกที่พบผู้ติดเชื้อ แต่ปัจจุบันจีนกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในปี 2020 ที่จีดีพีขยายตัวได้ ทำให้เศรษฐกิจของชาติที่เอียงไปเข้ากับจีน มีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าชาติอื่น ๆ
.
โดยเฉพาะไทยและชาติในอาเซียน จะได้เปรียบจากการฟื้นตัวของจีนมากกว่าประเทศที่เอียงเข้ากับจีนชาติอื่น ๆ เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของทั้งไทย และอาเซียน ในขณะที่ผลกระทบจากโรคระบาดของสหรัฐและยุโรปทำให้อาเซียนขยับขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีนเช่นเดียวกัน
.
2. โอกาสจากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ
ที่ผ่านมาจีนได้พยายามแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก โดยเฉพาะการทำยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative, การจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure. Investment Bank: AIIB) เพื่อให้เงินกู้สำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, การสร้างความเชื่อมโยงด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งความร่วมมือ China-ASEAN Year of Digital Economy Cooperation, จัดประชุม China-ASEAN Information Harbor รวมถึงสร้างความเชื่อมโยงด้าน พลังงาน และการค้า เช่น CPTPP, RCEP เป็นต้น
.
สหรัฐฯ จึงพยายามกีดกันอิทธิพลของจีน โดยให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียมากขึ้นตามยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก ด้วยการออกกฎหมายข้อตกลงต่าง ๆ และริเริ่มความร่วมมือเพื่อแข่งขันกับ BRI ของจีน เช่น ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน (Blue Dot Network), ให้เงินกู้แก่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกีดกันไม่ให้สมาชิกอาเซียนเข้าร่วมกับ AIIB และปรับปรุงการเชื่อมต่อระบบดิจิทัลและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เพื่อกีดกันการเข้าถึงเทคโนโลยีของจีน เป็นต้น
การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯและจีนในภูมิภาคเอเชีย
.
ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ ผลักดันให้จีนต้องสัมพันธ์กับอาเซียนมากขึ้นผ่านการให้ความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์การแพทย์ อาเซียนจึงกลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของ 2 มหาอำนาจ ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์มหาศาลหากมียุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจอย่างสมดุล โดยการดึงทั้ง 2 ขั้วอำนาจมาช่วยต่อรองให้ได้รับข้อเสนอ ความช่วยเหลือ หรือเงินกู้ที่มีเงื่อนไขที่ดี
.
3. โอกาสจากการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก การกระชากเปลี่ยน (disruption)
โรคระบาดทำให้เกิดการกระชากเปลี่ยนด้านต่าง ๆ ของโลก เช่น เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล (digital transformation) โดยเฉพาะการให้บริการทางไกลอย่างการเรียนออนไลน์ การประชุม และทำงานทางไกล และเป็นตัวเร่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 คือ นำระบบอัตโนมัติอย่างหุ่นยนต์ AI มาใช้แทนแรงงานคน โดยเฉพาะการใช้ AI ตรวจสอบและติดตามบุคคลเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด เป็นต้น (ภาพที่ 1)
สถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นโอกาสของไทยในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เนื่องจากสภาพแวดล้อมอยู่ในสภาวะที่เอื้ออำนวยให้คนต้องเปลี่ยนแปลง เช่น การผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาด (Pandemic Economy) อย่างสินค้าและบริการด้านสุขภาพโดยตรง เช่น แอลกอฮอล์ เครื่องฆ่าเชื้อ ถุงมือยาง และการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Economy) อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และตั้งเป้าเป็นสังคมไร้คาร์บอน (Carbon-Free Society) เป็นต้น
.
4. โอกาสจากการลงทุนจากต่างประเทศที่เป็นผลจากการกระชากเปลี่ยนด้านห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (Global Supply Chain Disruption)
ผลกระทบจากโรคระบาดทำให้เกิดการกระจายฐานการผลิตจากจีนสู่อาเซียน เนื่องจาก การแยกห่วงโซ่การผลิตของโลกตะวันตกออกจากจีน (economic decoupling) และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากการกระชากเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน (supply chain disruption) หรือการขาดตอนของห่วงโซ่อุปทานโลก (global supply chain) (ภาพที่ 2)
.
นอกจากนั้นบรรษัทข้ามชาติต้องใช้ยุทธศาสตร์ ‘China Plus One Strategy’ เพื่อกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้การจัดการห่วงโซ่อุปทานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จึงเป็นโอกาสของไทยและอาเซียนในการเป็นฐานการผลิตจากจีน ซึ่งไทยมีคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม และอินโดนีเซียที่ต้องคำนึง
ยิ่งสถานการณ์คลี่คลายลงมากเท่าไหร่ ธุรกิจที่เห็นโอกาสและเตรียมกลยุทธ์ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ย่อมกุมความได้เปรียบกว่า โอกาสต่อไปผมจะเสนอกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับธุรกิจส่วนใหญ่และเศรษฐกิจของประเทศไทยครับ
.
ภาพที่ 1 การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯและจีนในภูมิภาคเอเชีย
ภาพที่ 2 ภาพแพลตฟอร์ม Big Data ของจีน แสดงข้อมูลสถานการณ์โควิดในเขตพื้นที่ต่างๆ ด้านขวาเป็นกลุ่มบุคคล (มีไข้) ที่ต้องเฝ้าระวัง
ที่มา: Xuaxi News
ภาพที่ 3 ผลกระทบของเชื้อโควิด-19 ต่อห่วงโซ่อุปทานโลก