สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เมื่อเทียบกับประเทศอย่างอังกฤษ หรือ จีน แต่อเมริกามีอิทธิพลต่อโลกอย่างมากและขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจ ในช่วงเวลา 246 ปีนับตั้งแต่มีการก่อตั้งประเทศ
.
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาอเมริกาส่งอิทธิพลต่อหลายประเทศทั่วโลกและประเทศไทยค่อนข้างมาก และยังมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาประเทศไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคสงครามเย็น อเมริกาแสดงอิทธิพลต่อประเทศไทยมากที่สุดทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
.
อย่างไรก็ดีในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกโดยเฉพาะการก้าวขึ้นมาของจีนและพันธมิตรของจีน และมหาอำนาจอื่น ๆ ขณะที่สถานะของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกถดถอยลง สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลต่อการส่งผ่านอิทธิพลของอเมริกาในประเทศไทยอย่างไรและยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับอเมริกาควรเป็นอย่างไร ผมอยากจะขอนำเสนอเป็นประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
.
1. ลดอิทธิพลทางตรง – ขยายอิทธิพลทางอ้อม
อเมริกาเริ่มเข้ามามีความสัมพันธ์กับสยาม เมื่อประมาณ 200 ปีก่อน โดยกัปตันสตีเฟน วิลเลียมส์ เดินทางมาถึงสยาม เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า และมีการทำสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ ในปี พ.ศ.2376 ทำให้สยามเป็นประเทศแรกในเอเชียที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอเมริกา หากวิเคราะห์อดีตจนถึงปัจจุบัน ผมจำแนกความสัมพันธ์ของอเมริกาต่อประเทศไทยเป็น 3 ยุค คือ
.
ยุคแรก เป็นยุค ‘ผูกมิตร’ เป็นช่วงริเริ่มความสัมพันธ์ทางการค้า และการทูต เน้นผ่านการเผยแผ่ศาสนา และถ่ายทอดความรู้ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านการแพทย์สมัยใหม่ การศึกษา และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
.
ยุคต่อมา เป็นยุค ‘มหามิตร’ เป็นช่วงตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่สอง ถึง สงครามเย็นเป็นช่วงของการช่วยเหลือของอเมริกา ที่ทำให้ไทยผ่านพ้นวิกฤตด้านความมั่นคงและเป็นช่วงที่อเมริกามีอิทธิพลในการพัฒนาประเทศไทยมากที่สุดทั้ง Hard Power & Soft Power
.
ยุคปัจจุบัน เป็นยุค ‘ละเลยมิตร’ เป็นช่วงตั้งแต่ หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นต้นมา แม้ว่าความสัมพันธ์และอิทธิพลของอเมริกายังคงอยู่ในระดับสูงแต่ความสำคัญของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในมุมมองของอเมริกาลดลง ทำให้จากการเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย กลายเป็นอันดับ 3 และหวาดระแวงอเมริกามากขึ้น
.
อิทธิพลอเมริกาในประเทศไทยในอนาคตมีแนวโน้มถดถอยลง เนื่องจากโลกมีหลายขั้วอำนาจ ทำให้อเมริกามีคู่แข่งมากขึ้น ประเทศไทยจะพึ่งพาทางเศรษฐกิจอเมริกาในสัดส่วนที่ลดลง เช่นเดียวกับการพึ่งพาด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากแหล่งอื่นมากขึ้น
.
ความถดถอยของเศรษฐกิจอเมริกาทำให้ขาดทรัพยากรในการรักษาหรือขยายอิทธิพล ในทางตรงกันข้ามเศรษฐกิจจีนกลับเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง สถานะและบทบาทของจีนมีมากขึ้นในเวทีโลก แนวโน้มยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการรักษาความเป็นเจ้าโลก และจำกัดอิทธิพลจีนโดยเน้นบทบาทของพันธมิตรของอเมริกามากขึ้น โดยเฉพาะแนวคิดการจัดตั้ง ‘NATO Asia’ สะท้อนการกระจายภาระและบทบาทด้านความมั่นคงให้พันธมิตรในภูมิภาคมากขึ้น เน้นส่งผ่านอิทธิพลทางอ้อม
.
เป็นความท้าทายสำหรับประเทศไทย ที่จะสามารถสร้างความยืดหยุ่นและเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบจากการแข่งขันและสงครามเศรษฐกิจของมหาอำนาจ รวมถึงประเทศไทยจะต้องปรับโครงสร้างการผลิตและตลาดให้มีความยืดหยุ่น ที่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต
.
และประเทศไทยควรกำหนดจุดยืนด้านความมั่นคงของประเทศ เพื่อจะรักษาความเป็นเอกภาพในประเทศกับการแผ่อิทธิพลของอเมริกาและมหาอำนาจอื่น โดยอ้อมและไม่เป็นทางการ ซึ่งอาจส่งผลทำให้ควบคุมทิศทางและผลกระทบได้ยาก รวมทั้งอาจทำให้เกิดความแตกต่างและแตกแยกทางความคิดในประเทศได้
2. อิทธิพลแบบครอบคลุมลดลง – อิทธิพลแบบผสมผสานมากขึ้น
.
ในอดีต อเมริกา มีอิทธิพลต่อประเทศไทยอย่างกว้างขวาง ครอบคลุมหลายมิติ อาทิ
.
1) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการเงิน โดยที่สหรัฐฯ มีบทบาทในการวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในไทย โดยเฉพาะการพัฒนาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และยังมีบทบาทเป็นตลาดส่งออกและนำเข้าที่สำคัญของไทยด้วย
.
2) ด้านการเมือง เช่น อเมริกาและฝ่ายสัมพันธมิตร ร่วมมือกับขบวนการเสรีไทย ต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น และช่วงสงครามเย็น อเมริการ่วมมือกับไทย ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ อเมริกาเป็นต้นแบบและมีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายของการเมือง ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย เป็นต้นแบบของประชาธิปไตย รวมทั้งอิทธิพลในการฝึกทหาร และวางยุทธวิธีการรบ ซึ่งล้วนมีรากฐานมาจากอเมริกา
.
3) ด้านสังคม วิถีชีวิตสมัยใหม่ ความก้าวหน้า ความนิยมในเทคโนโลยีและนวัตกรรมบริโภคนิยม วัตถุนิยม เสรีนิยม ความเท่าเทียม และสังคมพหุวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เช่น พัฒนาการศึกษา STI, พัฒนา การแพทย์ และ สาธารณสุข เป็นต้น
.
ในอนาคต อิทธิพลอเมริกาจะไม่ครอบคลุม แต่จะมีอิทธิพลผสมกับอิทธิพลของมหาอำนาจอื่น ๆ ในระยะสั้น-กลาง อเมริกายังคงรักษาอิทธิพลในประเทศไทยได้ แต่ความท้าทายสำหรับประเทศไทย จะรักษาดุลอำนาจ และประสานประโยชน์ของมหาอำนาจฝ่ายต่าง ๆ ในประเทศอย่างไร โดยที่ทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุด หากจำเป็นต้องเลือกข้างในบางด้าน เช่น การเลือกใช้เทคโนโลยี 5G
.
จะทำอย่างไรให้มหาอำนาจอีกฝ่ายไม่รู้สึกไม่พอใจเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นพื้นที่ขัดแย้ง หรือเป็นสมรภูมิของสงครามตัวแทน เป็นต้น
.
3. อิทธิพลแบบไม่คงเส้นคงวา – อิทธิพลแบบสะเปะสะปะมากขึ้น
.
หากพิจารณาด้วยแนวคิดที่ผมเคยนำเสนอความคิดโมเดล 5 หลักหมุด ประกอบด้วย หลักปรัชญา หลักคิด หลักวิชา หลักการ และหลักปฏิบัติ อเมริกาดูเหมือนส่งอิทธิพล ตั้งแต่ ระดับลึกที่สุด คือ หลักปรัชญา จนถึง ระดับตื้นที่สุด คือ หลักปฏิบัติ อาทิ
.
หลักปรัชญา: อุดมการณ์ อุดมคติ อเมริกาเผยแพร่ปรัชญาและอุดมการณ์ไปทั่วโลก เช่น เสรีนิยม ทุนนิยม ประชาธิปไตย
.
หลักคิด: กรอบแนวคิด ค่านิยม ปทัสถาน โลกทัศน์ ทัศนคติของอเมริกา เช่น แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพ (Right & Liberty), สิทธิในทรัพย์สิน (Property Right), สิทธิมนุษยชน (Human Right), สิทธิพลเมือง (Civil Right), นิติธรรม, นิติรัฐ, ความเสมอภาค, ความเท่าเทียม เป็นต้น
.
หลักวิชา: องค์ความรู้ต่าง ๆ อเมริกาเป็นแหล่งขององค์ความรู้ของโลก แทบทุกสาขามีการพัฒนาและจัดระเบียบองค์ความรู้ เพื่อรองรับแนวคิดต่าง ๆ เช่น Neo-Classical Economics เพื่อรองรับเศรษฐกิจทุนนิยม วิชาเศรษฐศาสตร์การพัฒนา เพื่อรองรับการทำให้ทันสมัย (Modernization)
.
หลักการ: อเมริกาส่งเสริมหลักการในการกำหนดนโยบายประเทศ ที่เรียกว่า ฉันทมติแห่งวอชิงตัน (Washington Consensus) ที่ประกอบด้วยหลักการต่าง ๆ ได้แก่ การเปิดเสรีทางการค้า (Liberalization), การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization), การลดกฎเกณฑ์, ประสิทธิภาพนิยม, ผลลัพธ์นิยม
.
หลักปฏิบัติ: มาตรฐาน กฎเกณฑ์ แนวปฏิบัติของอเมริกาถูกนำไปใช้ทั่วโลกและในไทย เช่น การเลือกตั้ง, การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสถาบัน, การผลิตแบบ Assembly Line, การใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นต้น
.
ถึงแม้ว่าในทางแนวคิด อเมริกามีอิทธิพลที่ดูเหมือนสอดคล้องกันตลอดทาง ตั้งแต่อุดมการณ์ จนถึง ภาคปฏิบัติ แต่ในภาคปฏิบัติอเมริกาไม่ได้คงเส้นคงวาในหลักหมุดของตนเองเสียทั้งหมด
.
อิทธิพลของอเมริกาไม่อาจทำให้ไทยพัฒนาตามแบบอเมริกาได้ เนื่องจาก ไทยรับมาเพียงรูปแบบในหลักปฏิบัติ ไม่ได้เข้าใจหลักปรัชญาอย่างถ่องแท้หรือรับแนวคิดและแนวปฏิบัติมาไม่ครบถ้วน หรือ รับอิทธิพลมาโดยไม่ได้ปรับให้เข้ากับบริบทท้องถิ่นอย่างเหมาะสม
.
นอกจากนี้แนวโน้มอิทธิพลของอเมริกาในประเทศไทยโลกจะเข้าสู่ ‘Post New World Order’ คือ ไม่ยึดหลักการ ไม่ได้มีการแข่งขันเชิงอุดมการณ์ที่ชัดเจน ใช้แนวทางปฏิบัตินิยม (pragmatism) ประชาธิปไตยไม่คงเส้นคงวาในหลักหมุดของประเทศและละทิ้งหลักเสรีนิยม
.
และประเทศไทยจะได้รับทั้งอิทธิพลที่อาจไม่คงเส้นคงวาของสหรัฐอเมริกาและรับทั้งอิทธิพลจากมหาอำนาจอื่น ๆ ที่มีหลักหมุดที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความซับซ้อน สับสน สะเปะสะปะ ของหลักต่าง ๆ ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายของประเทศไทยว่าจะดำรงอยู่ภายใต้บริบทโลกที่ไม่มีหลักที่คงเส้นคงวาและมีความซับซ้อนของหลักต่าง ๆ ได้อย่างไร
.
จากสถานการณ์ดังกล่าวที่ผมได้วิเคราะห์ไป ผมเสนอว่าประเทศไทยจำเป็นต้องกลับมาทบทวนทิศทางการพัฒนา
.
โดยการกำหนดหลักหมุดในการสร้างชาติบนหลักปรัชญาที่ดีงาม สร้างอุดมการณ์ชาติที่ชัดเจนซึ่งจะนำไปสู่ผลประโยชน์ของชาติ และพัฒนาเศรษฐกิจบน 4 จุดแกร่งของประเทศ พร้อมทั้งสร้างสังคมที่หลากหลายแต่มีเอกภาพ และสร้างการเมืองประชาธิปไตยบนฐานธรรมาธิปไตย
.
นอกจากนี้ประเทศไทยควร กำหนดยุทธศาสตร์ ‘ไทยเป็นดุมล้อ ASEAN และ ASEAN เป็นดุมล้อโลก’ และเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอาเซียน ให้เป็นแกนกลางในการเชื่อมขั้วอำนาจต่าง ๆ เพื่อสร้างอำนาจต่อรองและรักษาดุลอำนาจในภูมิภาคในอนาคตต่อไปครับ
.
ที่มา mix magazine