เลือกตั้งสหรัฐอเมริกา 2567: เหตุการณ์ระดับโลกที่ต้องจับตามอง

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2567 ที่มีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่สำหรับชาวอเมริกัน แต่ยังรวมถึงทุกประเทศทั่วโลก ด้วยบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำทางเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง และเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงนโยบายต่าง ๆ หลังการเลือกตั้ง สามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปยังทุกภูมิภาค

การเลือกตั้งในครั้งนี้ไม่เพียงแค่เป็นการเลือกผู้นำคนที่ 47 ของสหรัฐฯ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่สามารถกำหนดทิศทางของโลกในด้านเสถียรภาพและการพัฒนาในอนาคต ประเทศต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่อาจเกิดขึ้น

 

  1. สถานการณ์ปัจจุบัน

ผลสำรวจจากหลายสำนักชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่อาจเปลี่ยนแปลงทิศทางการเมืองของสหรัฐอเมริกา แม้จะมีพรรคการเมืองหลายพรรค แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงเป็นการแข่งขันระหว่างสองพรรคหลัก ได้แก่ พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ซึ่งมีฐานเสียงและแนวทางการบริหารแตกต่างกันชัดเจน โดยรัฐที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตมักเรียกว่า “รัฐน้ำเงิน” ขณะที่รัฐที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันเรียกว่า “รัฐแดง”

เพื่อให้การคาดการณ์ผลเลือกตั้งแม่นยำมากขึ้น ต้องเน้นการสำรวจไปที่ “รัฐสมรภูมิที่สำคัญ” หรือ “สวิงสเตท” ซึ่งเป็นรัฐที่ประชาชนมีความเห็นทางการเมืองใกล้เคียงกัน ทำให้พรรคทั้งสองมีโอกาสชนะในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน รัฐสมรภูมิที่สำคัญในครั้งนี้ประกอบด้วย 7 รัฐ ได้แก่ เนวาดา แอริโซนา วิสคอนซิน มิชิแกน เพนซิลเวเนีย นอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย รัฐเหล่านี้จะเป็นจุดชี้ขาดที่กำหนดผลการเลือกตั้งและทิศทางการเมืองของสหรัฐฯ

โดยรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดโดย CNN เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 แสดงให้เห็นว่า คามาลา แฮร์ริสมีคะแนนนำหน้าโดนัลด์ ทรัมป์เล็กน้อยในระดับชาติที่ร้อยละ 48 ต่อร้อยละ 47

สำหรับสวิงสเตทที่มีการเปลี่ยนแปลงผลคะแนน เช่น เพนซิลเวเนีย ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงของเดโมแครต พบว่าทรัมป์มีคะแนนนำเล็กน้อยที่ร้อยละ 47.9 ต่อร้อยละ 47.6 ในขณะที่แฮร์ริสนำหน้าร้อยละ 1 ในรัฐมิชิแกนและวิสคอนซิน ด้านทรัมป์นำร้อยละ 1 ในเนวาดา และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2 ในจอร์เจียและนอร์ทแคโรไลนา รวมถึงนำร้อยละ 3 ในแอริโซนา ทั้งนี้ ในไอโอวา รัฐที่เคยสนับสนุนรีพับลิกัน พบว่าแฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์ร้อยละ 3 ที่ร้อยละ 47 ต่อร้อยละ 44[1]

  1. นโยบายสำคัญที่ใช้ชิงคะแนนเสียงของแต่ละฝ่าย

ทั้งแฮร์ริสและทรัมป์ต่างมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกลุ่มต่างๆ โดยนโยบายของทรัมป์มีแนวทาง Conservative ที่มุ่งเน้นการสนับสนุนธุรกิจและการควบคุมผู้อพยพ ขณะที่นโยบายของแฮร์ริสมีแนวทาง Liberal ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน นี่คือนโยบายสำคัญที่ใช้ชิงคะแนนเสียงของแต่ละฝ่าย

นโยบาย

ทรัมป์

แฮร์ริส

·     การเก็บภาษีเงินได้

·     ลดการเก็บภาษีเงินได้ทั้งบุคคลและนิติบุคคล

·     ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลง 15-20%
จาก 21% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

·     ลดการเก็บภาษีประชากรรายได้ต่ำ/ปานกลาง
(ไม่เกิน 400,000 USD/ปี หรือ 1.5 ลบ./ปี)

·     เน้นเก็บภาษีผู้มีรายได้สูง

·     มีแผนขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือธุรกิจ
อาจะเพิ่มเป็น 28-35% จาก 21%
(ซึ่งตัวเลข 21% นี้ขึ้นมาแล้วจากรัฐบาลทรัมป์)

·     จัดการผู้อพยพ

·     กีดกันผู้อพยพแบบเด็ดขาด จับและส่งตัวกลับประเทศ

·     ฟื้น Remain in Mexico 2019 คุมตัวผู้ลี้ภัย-ผู้หลบภัยให้อยู่ที่ชายแดนจนกว่าจะตรวจสอบเสร็จ

·     ยกเลิกให้สัญชาติเด็กที่เกิดในสหรัฐฯ จากพ่อแม่ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร

·     ช่วยเหลือพัฒนาชุมชน และประชาชนในอเมริกากลาง เพื่อลดการข้ามชายแดนมากเกินไป

·     การทำแท้ง

·     สนับสนุนเฉพาะกรณีข่มขืน การมีเพศสัมพันธ์ในครอบครัวเดียวกัน ครรภ์ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมารดา

·     สนับสนุนแบบเสรีในทุกรัฐ ให้อำนาจกระทรวงยุติธรรม ยับยั้งกฎที่ลิดรอนสิทธิการทำแท้งระดับมลรัฐ

·     ปฏิรูปแรงงานต่างด้าว

·     เพิ่มการขับไล่ผู้อพยพมาทำงานผิดกฎหมาย

·     ปกป้องงานให้คนอเมริกา

·     ปฏิรูปนโยบายการอพยพ

·     ส่งเสริมสถานะพลเมืองให้ผู้อพยพอยู่มานาน

·     ยุติการแยกครอบครัว ผู้อพยพผิดกฎหหมาย

·     ผู้อพยพเสริมเศรษฐกิจควรมีสิทธิ์ทำงาน

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2567 นโยบายของแฮร์ริสและทรัมป์มีความแตกต่างชัดเจน แฮร์ริสเน้นการเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงและการพัฒนาชุมชนเพื่อจัดการปัญหาผู้อพยพ ขณะที่ทรัมป์มุ่งมั่นลดภาษีและใช้มาตรการเข้มงวดในการกีดกันผู้อพยพ แนวทางของแฮร์ริสมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนความเสมอภาคและการพัฒนาเศรษฐกิจแบบรวมกลุ่ม ขณะที่ทรัมป์เน้นการปกป้องงานให้คนอเมริกันและการควบคุมการอพยพอย่างเข้มงวด

  1. ผลกระทบของการเลือกตั้งสหรัฐฯต่อประเทศไทย

การเปลี่ยนผู้นำและนโยบายที่เป็นผลจากการเลือกตั้ง ส่งผลกระทบหลายด้านต่อไทย[2] ดังนี้

3.1 กรณีที่แฮร์ริสชนะ

     นโยบายของแฮร์ริสมีลักษณะ Liberal ที่อาจเอื้อต่อการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ ทำให้ไทยได้รับโอกาสและประโยชน์ในประเด็นต่างๆ เช่น

     1) ไทยจะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนความร่วมมือด้านการค้าในกรอบพหุภาคี ซึ่งจะเปิดโอกาสในการส่งออกและการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีสีเขียว

2) ไทยจะได้รับการสนับสนุนทางเทคโนโลยีในการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด เนื่องจากแฮร์ริสจะผลักดันการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับโลก รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการเข้าร่วมข้อตกลงปารีส

3) ไทยจะได้รับการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงจากความสัมพันธ์ที่ดีกับอาเซียน และนโยบายการทูตที่เน้นความร่วมมือผ่านเวทีระหว่างประเทศ

3.2 กรณีที่ทรัมป์ชนะ

     นโยบายของทรัมป์มีลักษณะ Conservative ซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อประเทศไทยในหลายด้าน ตัวอย่างเช่น

1) ไทยจะได้รับผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษี รวมถึงข้อจำกัดทางการค้า ซึ่งจะทำให้โอกาสขยายตลาดในสหรัฐฯ ลดลง

2) ไทยต้องพึ่งพาการลงทุนจากคู่ค้าอื่นในการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด เนื่องจากทรัมป์จะลดการสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม

3) บริษัทเทคโนโลยีที่ไทยทำธุรกิจร่วมกับสหรัฐอาจได้รับผลกระทบ เนื่องจากทรัมป์อาจลดงบประมาณสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและมุ่งเน้นการพัฒนาภายในสหรัฐฯ

4) ไทยต้องรับแรงกดดันในการเลือกข้าง นโยบายที่เข้มงวดต่อจีนอาจทำให้ไทยต้องเลือกข้างหรือพิจารณาบทบาททางการทูตใหม่ และลดบทบาทของสหรัฐฯ ในองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ไทยต้องพึ่งพาความร่วมมือในอาเซียนมากขึ้น

โดยสรุป ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2567 ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะของแฮร์ริสหรือทรัมป์ ล้วนมีผลกระทบในวงกว้างต่อประเทศไทย นโยบายของผู้นำสหรัฐฯ คนต่อไปจะกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายที่ไทยต้องพร้อมรับมือ การปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ รวมถึงการเสริมสร้างบทบาทของไทยในภูมิภาคและเวทีโลก

[1] Thairath. (2024, November 4). เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024: อัปเดตผลโพลล่าสุด อีก 48 ชม.ก่อนเลือกตั้ง. ไทยรัฐออนไลน์. https://www.thairath.co.th/news/foreign/2823651

[2] Matichon. (2024, October 11). เทียบนโยบาย ตปท. ทรัมป์ vs แฮร์ริส กับผลกระทบต่อโลก. Retrieved from https://www.matichon.co.th/foreign/news_4839279