
คอลัมภ์ : การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
เมื่อไม่นานมานี้ มีแนวคิดที่จะรวม 3 บัญชีของแบงก์ชาติ (บัญชีทุนสำรองเงินตรา บัญชีสำรองพิเศษ และบัญชีผลประโยชน์ประจำปี) เพื่อนำเงินบางส่วนมาใช้ลดภาระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งมีภาระหนี้กว่า 1.1 ล้านล้านบาท และรัฐบาลต้องรับภาระในการนำเงินงบประมาณมาชำระดอกเบี้ยจากหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ถึงปีละ 65,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวได้รับการคัดค้านอย่างมากจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะศิษย์ของหลวงตามหาบัว ซึ่งได้บริจาคเงินส่วนหนึ่งเข้าสู่เงินทุนสำรองนี้ด้วย ทำให้รัฐบาลต้องหยุดแนวคิดนี้ไว้
ประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องเงินทุนสำรองระหว่างประเทศนั้น ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีข้อเสนอที่สำคัญในเรื่องนี้อยู่ 2 ประการ
ประการแรก คือ การรวมบัญชีดังเช่นที่มีการเสนอในครั้งนี้หรือการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตรา และ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการทุนสำรองเงินตรา ให้สามารถทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ได้มากขึ้น อีกประการหนึ่ง คือการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศบางส่วนมาจัดตั้งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เพื่อหาประโยชน์จากเงินทุนสำรองฯ ส่วนเกินที่อาจมีอยู่มากเกินความจำเป็นทั้งสองประเด็นข้างต้น ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด เนื่องจากเหตุผลเดียวกัน นั่นคือ ความไม่มั่นใจว่าธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังจะบริหารจัดการเงินทุนสำรองฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกรงว่าหากให้อำนาจมากเกินไป จะมีการนำเงินไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเสี่ยงและความเสียหายมากกว่าที่จะทำให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวม
ความเห็นต่อข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ ผมเห็นว่าข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มีประเด็นและเข้าใจได้ที่ประชาชนจะกังวลถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากสภาพปัจจุบันที่เราเห็นการขาดความรับผิดชอบ รวมทั้งความไม่ซื่อตรงและการขาดจริยธรรมของนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เน้นไปในแนวทางที่ปลอดภัยไว้ก่อน
อย่างไรก็ตาม หากมองไปในอนาคตระยะยาวแล้ว การพิจารณากรอบการนำเงินทุนสำรองฯ มาบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายนอก โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และธุรกรรมทางการเงินที่มีความหลากหลายมากขึ้น การมีเครื่องมือทางการเงินที่มากขึ้นจะช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการและสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า อีกทั้งในเรื่องข้อจำกัดเรื่องหนี้สาธารณะกับการพัฒนาประเทศ ขณะที่ประเทศต้องการการพัฒนามากขึ้นในหลายด้านอย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่สามารถที่จะกู้เพื่อนำมาใช้จ่ายได้ตลอดเวลา ประเด็นเรื่องการใช้คืนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาก็เช่นกัน ตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบัน ยอดเงินต้นแทบจะไม่ลดลงเลย ภาระการจ่ายดอกเบี้ยแต่ละปีนั้นก็ถือว่าหนักหนาสำหรับภาครัฐมาก ดังนั้นหากมีช่องทางที่รัฐสามารถนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ก็ควรได้รับการสนับสนุน ดังคำที่ได้ยินกันอยู่เสมอว่า เพื่อความยั่งยืนเราควรสอนคนให้จับปลา มากกว่าจับปลาให้คนกิน ดังนั้นเราควรให้รัฐบาลจับปลาบ้าง จริงหรือไม่?
อีกภาพหนึ่งที่อยากจะให้ท่านผู้อ่านได้เห็นคือ เปรียบประชาชนเป็นเจ้าของบ้าน รัฐบาลเป็นคนรับใช้ ถ้าเจ้าของบ้านต้องการบ้านที่สะอาด น่าอยู่ ต้องการให้คนรับใช้ดูแลทำความสะอาดบ้าน แต่เจ้าของบ้านไม่ให้อุปกรณ์ที่เหมาะสมในการทำความสะอาดบ้านแก่คนรับใช้ และเมื่อเห็นว่าบ้านไม่สะอาด จะไปตำหนิคนรับใช้ก็คงไม่ได้ เช่นเดียวกันหากเราต้องการให้รัฐบาลพัฒนาประเทศให้ดีกว่านี้ แต่ไม่ได้ให้เครื่องมือที่เหมาะสมแก่รัฐบาล เมื่อผลปรากฏว่ารัฐบาลไม่สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างที่ต้องการ ก็อาจไม่สามารถที่จะโทษรัฐบาลได้เช่นกัน
จริงอยู่ว่ามีเครื่องมืออยู่จำนวนมากที่รัฐบาลสามารถใช้ได้ เหตุใดต้องเป็นเครื่องมือนี้? นั่นเป็นเพราะมีค่าเสียโอกาสจากการปล่อยทรัพย์สินจำนวนมหาศาลอย่างเงินทุนสำรองฯ เอาไว้โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ประกอบกับปัจจุบันมีหลายประเทศที่ได้ดำเนินการไปแล้วและสามารถเป็นบทเรียนให้แก่เราได้ ผมยังมองแง่ดีว่าทุกคนปรารถนาดีต่อประเทศ อีกทั้งเราสามารถออกแบบระบบที่ป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมากที่สุดได้แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการนำกรอบการนำเงินทุนสำรองฯ ไปลงทุนเสนอต่อรัฐสภา การกำหนดความรับผิดชอบที่ชัดเจน หรือกระบวนการนำเงินทุนสำรองฯ ไปใช้ที่มีความชัดเจน ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามดุลพินิจของคนบางกลุ่ม และประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เป็นต้น
ผมไม่ได้สนับสนุนให้มีการรวมบัญชีหรือให้นำเงินทุนสำรองฯ ไปจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งเสียทีเดียว สิ่งที่ผมเสนอคือ ให้มีการพิจารณากรอบการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่ มีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดี โดยผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคประชาชนหรือนักวิชาการ ต้องคุยกันให้ได้ข้อสรุป ไม่ใช่เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็หยุด เมื่อเผชิญปัญหาที่จำเป็นจึงค่อยหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อถูกทักท้วงก็หยุดไปอีกดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถึงเวลาที่เราต้องร่วมกันทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ด้วยความรอบคอบ กล้าหาญและสร้างสรรค์ เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่เสียที
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com