ปัญหาของภูทับเบิกนั้นมีความซับซ้อนและสะสมมานาน จนบานปลายและส่งผลเสียในหลายด้าน
ในความคิดของผม ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องร่วมมือช่วยกัน ต้องแก้ปัญหาให้ถูกต้องครบมิติทุกด้าน ทั้งในระยะสั้นระยะยาว เพื่อให้มีความยั่งยืนและเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย
เดิมทีพื้นที่ภูทับเบิกนั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเพาะปลูกกะหล่ำปี รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยงเชิงนิเวศน์ ก่อนที่จะเน้นการท่องเที่ยวเป็นหลัก
ในประเด็นนี้เกิดคำถามว่า
หลังจากที่รื้อถอนรีสอร์ทไปหมดแล้ว และพยายามให้ชุมชนกลับไปปลูกพืชเหมือนเดิม
จะรับประกันรายได้ให้กับพวกเขาได้อย่างไร?
– ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการการตัดสินใจแก้ไขปัญหา
– การทำงานต้องมีความสอดคล้องกับพื้นที่และการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นหลัก
– ต้องร่วมกันหามาตรการชัดเจนในการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
– และมีแนวทางรูปธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนให้มั่นใจว่า ในอนาคตเขาจะอยู่รอดและอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน
รัฐจึงไม่เพียงส่งเสริมการปลูกพืชให้มากขึ้น
– แต่ต้องสนับสนุนทางออกการหาตลาดในการกระจายสินค้าอย่างได้ผลจริง
– และหากลไกให้การจัดสรรคนกลางที่เป็นธรรมในการรับซื้อหาตลาดส่งออก
– ให้ความรู้ชุมชนในการปลูกพืชส่งเสริมและพัฒนาทำให้เป็นแหล่งวิจัยพืชในทุกด้าน
– รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนจัดสวัสดิการชุมชน เพื่อสร้างหลักประกันเพิ่มความมั่นใจให้คนในชุมชนตั้งแต่เกิดจนตาย
ในด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ผมคิดว่าควรได้รับการส่งเสริมโดย
– พูดคุยกับชุมชนในการกำหนดรูปแบบให้เหมาะสม
– สามารถรักษาพื้นที่และทรัพยากรโดยรอบ
– การสร้างจิตสำนึกชุมชน และนักท่องเที่ยว ที่จะช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม
– และเคารพในสังคม วัฒนธรรม และประเพณีของชุมชน
การแก้ไขปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายสอดประสานการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบและครบทุกมิติ
การมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายจะทำให้การแก้ปัญหานั้นมีประสิทธิภาพมั่นคงและยั่งยืนครับ