นโยบายภาครัฐกับการสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชน

คอลัมภ์ : การเมือง : ทัศนะวิจารณ์

ในแต่ละปี The Heritage Foundation ซึ่งเป็น Think Tank ด้านนโยบายสาธารณะของสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิเคราะห์แนวโน้มการพึ่งพาภาครัฐของประชาชน โดยนำเสนอออกมาในรูปของดัชนีที่มีเชื่อว่า “ดัชนีการพึ่งพาภาครัฐ” หรือ “Index of Dependence on Government”

จุดประสงค์ของดัชนีนี้ คือ เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถวิเคราะห์แนวโน้มการใช้จ่ายของโครการภาครัฐที่จะเกิดขึ้นและพิจารณาถึงผลกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณของรัฐ โดยดัชนีนี้ประกอบด้วยดัชนีย่อย 5 ด้าน ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่าย

ของรัฐในแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านที่อยู่อาศัย ด้านสาธารณสุขและสวัสดิการ ด้านการเกษียณอายุ ด้านการศึกษาระดับสูงและด้านชนบทและการเกษตร โดยดัชนีแต่ละด้านถูกให้น้ำหนักแตกต่างไปในการคำนวณดัชนีรวม

จากรายงานล่าสุดพบว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ดัชนีนี้ได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณไม่ดี คือ การที่ประชาชนต้องพึ่งพารัฐเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากพิจารณาในปี 2009 จะพบว่าดัชนีการพึ่งพาภาครัฐนั้นขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดตั้งแต่มีเริ่มต้นจัดทำดัชนีนี้เป็นครั้งแรกในปี 1962 และเพิ่มมากขึ้นจากปี 1962 ถึง 14 เท่า ด้านที่มีการพึ่งพารัฐเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ ด้านสาธารณสุขและสวัสดิการ ด้านที่อยู่อาศัยและด้านการเกษียณอายุ ขณะที่การพึ่งพารัฐด้านชนบทและการเกษตรมีแนวโน้มคงที่ และการพึ่งพารัฐในด้านการศึกษามีแนวโน้มลดลง

อย่างไรก็ตาม ดัชนีนี้อาจยังไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความร้ายแรงของปัญหาได้อย่างครบถ้วน หากเราไม่ได้พิจารณษเรื่องการจัดเก็บภาษีควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะพบว่าจำนวนประชาชนชาวสหรัฐที่ไม่ได้จ่ายภาษี (ทั้งที่ควรจ่าย) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ซจากร้อยละ 14.8 (34.8 ล้านคน) เป็นร้อยละ 43.6 (132.5 ล้านคน) ในปี 2008

ด้วยเหตุนี้ สหรัฐจะต้องเผชิญปัญหาอย่างมากในอนาคต โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้ไม่เพียงพอต่อการจัดสรรบริการสาธารณะบางด้านให้แก่ประชาชน ยังไม่นับรวมถึงปัญหาหนี้สาธารณะหรือการขาดดุลการคลังที่ยังเป็นปัญหาสำคัญอยู่ในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าแม้ประเทศที่พัฒนามากอย่างสหรัฐ ประชาชนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี รายได้ต่อหัวสูงกว่าคนไทยประมาณ 10 เท่า ประชาชนยังต้องพึ่งพารัฐอย่างมาก แล้วคนไทยซึ่งอยู่ในประเทศพัฒนาน้อยกว่ามาก จะต้องพึ่งพารัฐมากกว่านั้นสักเท่าไร

แม้ว่าประเทศไทยจะไม่เคยมีการจัดทำดัชนีการพึ่งพารัฐเหมือนอย่างที่มีการจัดทำในสหรัฐ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นการดีหากประเทศไทยจะมีการจัดทำดัชนีนี้ เพื่อประชาชนจะได้เห็นว่าเราต้องพึ่งพารัฐมากน้อยเพียงใด แต่เราคาดเดาได้ไม่ยากว่าหากมีการจัดทำดัชนีนี้ในประเทศไทย คนไทยจะต้องพึ่งพารัฐมากกว่าในสหรัฐเป็นอย่างมากในทุกด้านเป็นแน่

การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มต่างๆ เป็นสิ่งที่รัฐควรทำ เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐ แต่ไม่ควรทำให้ประชาชนเสพติดอ่อนแอและต้องพึ่งพาการช่วยเหลือของรัฐตลอดเวลา การดำเนินนโยบายของรัฐจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อความเข้มแข็งของประชาชน

รัฐบาลปัจจุบันใกล้จะหมดเวลาในการทำหน้าที่แล้ว การเลือกตั้งกำลังจะเกิดขึ้นประเทศไทยกำลังจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาทำหน้าที่เวลานี้พรรคการเมืองจำนวนมากเสนอตัวขึ้นมา แต่ว่านโยบายที่แต่ละพรรคส่วนใหญ่แถลงออกมาก็ยังไม่พ้นนโยบายประชานิยมที่เน้นการ “ลด แลก แจก แถม” ให้กับประชาชน ซึ่งเวลานี้หลายคนยังมีคำถามว่าหากพรรคนั้นได้เป็นรัฐบาลจริงจะเอาเงินจากที่ใดมาทำตามนโยบายที่ประกาศไว้

เราไม่เห็นว่ามีพรรคการเมืองใดที่มีนโยบายสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาขนที่ทำให้ประชาชนสามารถยืนบนลำแข้งของตนเองได้ในระยะยาว ไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงาน การฝึกอบรม การสร้างมาตรฐานแรงงาน ซึ่งเป็นต้นตอของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงและทำให้แรงงานได้ค่าจ้างที่สูงขึ้นโดยไม่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ มีแต่พรรคที่เสนอว่าจะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ (เช่น 15,000 บาท สำหรับผู้ที่เพิ่งจบปริญญาตรีและค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงมาก และอาจส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจมากกว่าผลดี)

เรายังไม่เห็นพรรคการเมืองใดสนับสนุนการรวมกลุ่ม เช่น สหกรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาที่อาศัยการรวมกลุ่มและการทำงานร่วมกันของประชาชน ไม่มีพรรคการเมืองใดที่สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาในท้องถิ่นด้วยคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง ไม่มีพรรคการเมืองใดที่สนับสนุนและช่วยเหลือผู้สูงอายุให้ได้ทำงานตามศักยภาพแทนที่จะรอรับการช่วยเหลือเพียงอย่างเดียวหลังเกษียณอายุ

ผมหวังว่าอนาคตประเทศไทยจะมีพรรคการเมืองที่กำหนดนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และช่วยให้ประชาชนเข้มแข็งได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงแค่นโยบายประชานิยมที่ประกาศออกมาเพื่อหวังคะแนนเสียงจากประชาชนเท่านั้น ผมหวังว่าประชาชนจะมองข้ามเพียงประโยชน์ระยะยสั้น แต่มองที่ผลประโยชน์ส่วนรวมในระยะยาวมากขึ้น และสนับสนุนพรรคการเมืองที่ดีขึ้นทันที แต่หวังว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้าครับ

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com