เดลินิวส์
คอลัมน์ แนวคิด ดร.แดน
ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวส่งสัญญาณให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐนั้นมีแนวโน้มไปในทิศทางที่เป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สูงขึ้น อัตราการว่างงานที่ลดลงอย่างมากจากร้อยละ 9.1 ในเดือนสิงหาคม 2554 เหลือร้อยละ 8.2 ในเดือนมีนาคม 2555 หรือสัญญาณจากตลาดหุ้นที่กลับมามีชีวิตชีวามากขึ้นและแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีทั้งดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนีแนสแดคในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นต้น อย่างไรก็ตามท่ามกลางสัญญาณที่เป็นบวกนั้นยังคงมีปัจจัยที่น่ากังวลอีกหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและปัญหาหนี้สาธารณะของหลายประเทศในสหภาพยุโรปซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไขและอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกได้
นอกจากสัญญาณและตัวชี้วัดข้างต้นที่มีการกล่าวถึงกันอยู่บ่อยครั้งแล้ว ในสหรัฐยังมีการจับสัญญาณภาวะเศรษฐกิจจากดัชนีชี้วัดอื่นๆ อีกหลายตัวที่น่าสนใจ เช่น
อัตราการใช้บริการร้านเสริมสวย เนื่องจากในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำนั้น คนอเมริกัน (และน่าจะเหมือนกับคนชาติอื่นทั่วโลก) มีแนวโน้มที่จะเข้าร้านเสริมสวยและร้านตัดผมน้อยลง หลีกเลี่ยงการใช้บริการทำผมและไม่ใช่อุปกรณ์ตกแต่งผมที่มีราคาแพง (ซึ่งดูเหมือนเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย) แต่อย่างไรก็ตามในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการใช้บริการของร้านเสริมสวยในสหรัฐขยายตัวร้อยละ 5.4 ร้านเสริมสวยร้อยละ 34 ระบุว่าพวกเขาจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าในช่วงเวลาปรกติ ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่จะมาใช้บริการทุก 5 สัปดาห์ ขณะที่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำนั้นจะมาใช้บริการทุก 7 สัปดาห์ แต่ขณะนี้ความถี่ในการมาใช้บริการกลับมาอยู่ในช่วงก่อนเศรษฐกิจตกต่ำแล้ว
ยอดขายชุดชั้นใน เป็นดัชนีที่สามารถสะท้อนภาวะเศรษฐกิจได้ เนื่องจาก ในภาวะปรกติชุดชั้นในมียอดขายค่อนข้างสม่ำเสมอ แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ยอดขายชุดชั้นในปรับตัวลดลง โดยมีคำอธิบายว่า ชุดชั้นในเป็นของใช้ที่ใส่อยู่ภายใน ไม่มีใครเห็น ทำให้คนชะลอการซื้อสินค้าใหม่ออกไปก่อน จะเห็นได้ว่าคำอธิบายนั้นสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คือ ในช่วงต้นปี 2552 ซึ่งเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ยอดขายชุดชั้นในลดลงร้อยละ 2.3 แต่ในปี 2554 ยอดขายชุดชั้นในขยายตัวร้อยละ 6.4 โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์เนมทั้งหลาย
จำนวนการออกรอบตีกอล์ฟ การออกรอบตีกอล์ฟอาจเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งแปรผันตามภาวะเศรษฐกิจ กล่าวคือเมื่อภาวะเศรษฐกิจดี คนมีรายได้ย่อมจะตีกอล์ฟเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจถดถอย คนจะตีกอล์ฟน้อยลง ดังเห็นได้จากในเดือนมกราคม ปี 2553 ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวดีนัก จำนวนการออกรอบตีกอล์ฟลดลงร้อยละ 18.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ขณะที่เดือนมกราคม ปี 2555 ที่ผ่านมา จำนวนการออกรอบตีกอล์ฟเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 21.4 ทั้งการออกรอบในแบบราคาปรกติและแบบพิเศษ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เพียงแต่คนรวยเท่านั้นที่รู้สึกว่าพวกเขามีรายได้เพียงพอสำหรับการออกกำลังกายในรูปแบบนี้ แต่คนธรรมดาทั่วไปก็เช่นเดียวกัน
การออกไปทานอาหารที่ร้านอาหารชั้นดี ดัชนีนี้อาจแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความกังวลน้อยลงเกี่ยวกับเรื่องรายได้ที่เขามี จึงออกไปบริโภคในร้านอาหารที่มีราคาแพงแทนที่จะซื้ออาหารในร้านสะดวกซื้อหรือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดซึ่งมักเป็นที่นิยมในช่วงเศรษฐกิจถดถอย จากการสำรวจพบว่ายอดขายของร้านอาหารสำหรับบริการเต็มรูปแบบในสหรัฐ ในเดือนมกราคม ปี 2555 ขยายตัว ร้อยละ 8.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
จำนวนรถบ้าน (Mobile home) เคลื่อนที่ ดัชนีนี้เป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งแม้ว่าตลาดของผู้ที่ซื้อบ้านเดี่ยวนั้นแตกต่างไปจากรถบ้าน แต่การขยายตัวของรถบ้านนี้สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในภาพรวมได้เช่นกัน บางคนใช้ดัชนีเพื่ออธิบายการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จากการที่ในเดือนธันวาคม 2554 จำนวนยูนิตของบ้านเคลื่อนที่มีการขยายตัวร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
นอกจากดัชนีเหล่านี้แล้ว ยังเคยมีการกล่าวถึงตัวชี้วัดที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น ความยาวของกระโปรงในปีนั้น (คนจะใส่กระโปรงยาว เพราะ ขาดความเชื่อมั่นในยามที่เศรษฐกิจถดถอย) ยอดขายลิปสติก (คนจะซื้อลิปสติกเพิ่มขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ เพราะคนใช้ลิปสติกเพื่อยกระดับความรู้สึกให้ดีขึ้นในช่วงที่รู้สึกหดหู่ อย่างไรก็ตามดัชนีลิปสติกใช้งานไม่ได้ในภาวะถดถอยครั้งล่าสุด เพราะพบว่ายอดขายลิปสติกในร้านค้าปลีกลดลง) หรือแม้แต่ยอดขายยาแก้ปวด (ซึ่งแปรผกผันกับทิศทางของตลาดหุ้น) เป็นต้น
โดยสรุปแล้วแม้ว่าตัวชี้วัดเหล่านี้จะออกมาในทิศทางที่ดี ถ้าแปลความหมายอาจแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐนั้นฟื้นแล้ว อย่างไรก็ตามตัวชี้วัดเหล่านี้แสดงให้เห็นเพียงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นบางส่วน ไม่ได้บ่งบอกว่าอะไรเป็นสาเหตุหรืออะไรเป็นผลอย่างแน่ชัด การเปลี่ยนแปลงของดัชนีเหล่านี้อาจเป็นผลมาจากปัจจัยอื่นๆ ที่ยังไม่ทราบแน่ชัด ทำให้การพิจารณาจากดัชนีเหล่านี้แล้วสรุปว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นแล้วนั้นจึงอาจยังไม่ถูกต้องทั้งหมด การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอาจขึ้นอยู่กับทั้งปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยภายนอกประเทศซึ่งมีอยู่จำนวนมาก โดยส่วนตัวผมสำหรับสถานการณ์ในสหรัฐ ปัจจัยภายในประเทศดูมีสัญญาณที่ดี แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงภายนอกโดยเฉพาะสถานการณ์ที่ยุโรปที่ต้องติดตามดูกันต่อไป
ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, https://www.kriengsak.com