กรุงเทพธุรกิจ
คอลัมน์ : ดร.แดน มองต่างแดน
ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังชาวอียิปต์นับล้านคนชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล กองทัพอียิปต์เข้ายึดอำนาจฝ่ายบริหาร
พลเอกอับเดล ฟาตาห์ อัล ซาซี ผู้บัญชาการกองทัพอียิปต์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญพร้อมกับแต่งตั้งให้นายอัดลี มานซูร์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ ส่วนนายโมฮัมเหม็ด มอร์ซีกลายเป็นอดีตประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดรัฐบาลโอบามาไม่ใช้คำว่า “รัฐประหาร” ทั้งที่โดยทฤษฎีแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือกองทัพอียิปต์ยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
นักวิเคราะห์บางคนให้เหตุผลว่า ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลอเมริกันมีสัมพันธ์อันดีกับกองทัพอียิปต์มาตลอด โดยได้จัดสรรงบประมาณที่เรียกว่า Foreign Military Financing ปีละ 1.3 พันล้านดอลลาร์ให้แก่กองทัพอียิปต์ (ในขณะที่สหรัฐให้งบประมาณแก่ฝ่ายบริหารเพื่อช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเพียงปีละ 250 ล้านดอลลาร์เท่านั้น) กองทัพอียิปต์ได้รับงบประมาณดังกล่าวเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี ค.ศ.1987 เป็นต้นมาหรือเป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษแล้ว
ดังนั้น หากรัฐบาลโอบามาประกาศว่าเป็นการรัฐประหาร การช่วยเหลือดังกล่าวจะหยุดชะงักทันที เนื่องจากกฎหมายอเมริกันห้ามรัฐบาลจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหารโดยทหาร เพียงแต่ประกาศคำว่า “รัฐประหาร” ความเข้มแข็งของกองทัพอียิปต์จะได้รับผลกระทบทันที
ท่าทีของรัฐบาลโอบามาได้ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลโอบามาได้ทำผิดกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากกฎหมายน่าจะมีเจตนารมณ์ไม่ให้รัฐบาลสหรัฐสนับสนุนการก่อรัฐประหาร แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะอ้างว่ายังไม่ได้ประกาศว่าเป็นการก่อรัฐประหาร แต่การไม่ประกาศก็เท่ากับว่าประธานาธิบดีโอบามาละเลยการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว หรือเป็นเพราะว่ากฎหมายเปิดช่องไว้ให้ประธานาธิบดีเลือกบังคับใช้กฎหมายข้อดังกล่าวได้ตามความเหมาะสม
ถึงแม้ว่ามีผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ แต่เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่ของทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน (พรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน) ไม่ได้ออกมาคัดค้าน ไม่ได้กดดันให้ประธานาธิบดีโอบามาต้องทำตามเจตนารมณ์ กฎหมายดังกล่าวจึงเป็นหมัน
ข้อวิพากษ์อีกประการคือ แม้รัฐบาลโอบามาอาจอ้างคำกล่าวของทางการอียิปต์ที่ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่กองทัพก่อการรัฐประหาร เป็นเรื่องที่ประชาชนโค่นล้มรัฐบาลมอร์ซีต่างหาก แต่รัฐบาลอเมริกันจำต้องเชื่อทางการอียิปต์ที่ประกาศเช่นนั้นหรือไม่ หรือเป็นเพียงเทคนิควิธีการเพื่อให้เกิดการอ้างอิงไปมาว่าไม่ใช่การรัฐประหารโดยกองทัพ
จากเหตุการณ์นี้ทำให้บทบาทของสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้เผยแพร่ประชาธิปไตยคงถูกสั่นคลอนไม่น้อย และประเด็นที่น่ากังวลมากกว่าคือการส่งสัญญาณซึ่งเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตยและสันติภาพของภูมิภาคตะวันออกกลางและของโลก
ประการแรก การไม่ปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
จากชัยชนะในการเลือกตั้งของนายโมฮัมเหม็ด มอร์ซี และกลุ่มภารดรภาพมุสลิม ทำให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลนายมอร์ซีจะนำพาประเทศอียิปต์ไปสู่รัฐศาสนาตามหลักอิสลามแบบสุดโต่ง ซึ่งการบริหารประเทศในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาดูเหมือนยืนยันความกังวลดังกล่าว เพราะรัฐบาลได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีความพยายามรวบอำนาจไว้ที่ตัวเองและยังมีพฤติกรรมข่มขู่ศาสนาอื่น ท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์เช่นนี้จึงมีความเสี่ยงที่อาจทำให้โลกมุสลิมมองว่า สหรัฐฯไม่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอียิปต์ เนื่องจากไม่นิยมรัฐบาลที่มีแนวคิดรัฐอิสลาม แม้จะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ตาม
การรับรู้ดังกล่าวอาจทำให้กลุ่มการเมืองสายเคร่งศาสนาเปลี่ยนแนวทางจากการต่อสู้ในระบบเป็นการต่อสู้นอกระบบ กล่าวคือมองว่าการเข้าสู่อำนาจโดยผ่านการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป ประกอบกับความคับข้องใจจากการที่แกนนำกลุ่มถูกจับกุม ยึดทรัพย์ ตลอดจนการสังหารกลุ่มผู้ชุมชนที่สนับสนุนนายมอร์ซี อาจทำให้กลุ่มเคร่งศาสนาหันไปใช้ความรุนแรงในการก้าวขึ้นมามีอำนาจแทนการเลือกตั้ง ดั่งที่เคยเกิดขึ้นในประเทศแอลจีเรียเมื่อปี 2535 จนกลายเป็นสงครามกลางเมืองยาวนานถึง 8 ปี
ประการที่สอง การสนับสนุนการล้มรัฐบาลด้วยการชุมนุม
ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพื่อคัดค้านการปกครองของผู้นำเผด็จการและเรียกร้องประชาธิปไตย หรือที่เรียกว่า ?อาหรับสปริง? เป็นสัญญาณที่ดีของประชาธิปไตยในภูมิภาคนี้ เพราะสะท้อนถึงความตื่นตัวของประชาชนในทางการเมือง อย่างไรก็ดี การที่สหรัฐฯไม่โต้แย้งคำกล่าวอ้างที่ว่าประชาชนเป็นผู้โค่นล้มรัฐบาลมอร์ซีนั้นอาจทำให้ถูกตีความได้ว่า สหรัฐฯเห็นด้วยกับการล้มรัฐบาลด้วยการชุมนุมประท้วงและต่อต้านรัฐบาล หรือมองว่าข้อเรียกร้องของประชาชนที่ออกมาชุมนุมบนท้องถนนเป็นประชามติของประชาชนทั้งประเทศ
สัญญาณเช่นนี้นับเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตยและความสงบสุขของสังคม ไม่เพียงแต่ในตะวันออกกลางแต่รวมถึงทั่วโลกด้วย สังเกตได้จากสถานการณ์ในอียิปต์ในปัจจุบันที่ประชาชนแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนและมีความขัดแย้งร้าวลึก ไม่ว่าฝ่ายใดจะก้าวขึ้นมาครองอำนาจก็มีความเสี่ยงที่จะถูกต่อต้านจากประชาชนอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งขาดเสถียรภาพและสังคมมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นนองเลือด สถานการณ์เช่นนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง (โดยเฉพาะในประเทศที่มีการล้มรัฐบาลด้วยการชุมนุมประท้วง) และกำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
ประการที่สาม การยอมรับการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองด้วยกำลังทหาร
การที่สหรัฐฯพยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า ?รัฐประหาร? ในกรณีที่กองทัพยึดอำนาจรัฐบาลนายมอร์ซี ประกอบกับการที่สหรัฐฯยังคงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กองทัพอียิปต์ อาจทำให้ถูกตีความได้ว่า สหรัฐฯยอมรับการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองโดยกองทัพ การส่งสัญญาณเช่นนี้อาจกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานว่า นับจากนี้เป็นต้นไป หากประเทศใดที่ประชาชนออกมาขับไล่รัฐบาลจำนวนมากนับล้านคน เมื่อนั้นกองทัพสามารถออกมาช่วยประชาชนยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการก่อรัฐประหาร และอาจเป็นการสร้างการยอมรับของประชาชนว่า กองทัพสามารถเข้ามาแทรกแซงการเมืองได้หากประชาชนเรียกร้อง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
หากพิจารณาในอีกแง่หนึ่ง ในภาวะที่ประชาชนทั่วโลกมีความแตกต่างทางความคิดและมีการแสดงออกถึงจุดยืนของตนมากขึ้น ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ใช้เสียงข้างมากนับว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกท้าทายว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร และจะพัฒนารูปแบบหรือวิธีการอย่างไรเพื่อที่จะสามารถจัดการความขัดแย้งหรือข้อเรียกร้องที่มีมากขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการชุมนุมบนท้องถนนหรือการยึดอำนาจโดยกองทัพ
เหตุการณ์ในอียิปต์ยังเป็นบทเรียนให้กับรัฐบาลประชาธิปไตยในหลายประเทศทั่วโลกว่า รัฐบาลควรจัดการอย่างไรกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ หากรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากรับฟังความเห็นของประชาชน โดยเฉพาะเสียงของประชาชนที่เป็นเสียงส่วนน้อย และดำเนินนโยบายอย่างเหมาะสมโดยไม่เลือกปฏิบัติ รัฐบาลจะสามารถดำรงอยู่ได้ ประชาธิปไตยจะไม่สั่นคลอน และสังคมจะไม่ก้าวเข้าสู่ความขัดแย้งรุนแรงเหมือนดังเช่นอียิปต์
ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, http://www.kriengsak.com
แหล่งที่มาของภาพ : http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/07/04/355144/hr1667/300.jpg