ขวากหนามบนเส้นทาง สู่ประชาธิปไตยของลิเบีย

คอลัมน์ : ดร.แดน มองต่างแดน

เดือนตุลาคมปีที่แล้ว สื่อมวลชนทั่วโลกต่างเสนอข่าวการเสียชีวิตของ ผู้นำประเทศลิเบีย ?พ.อ.โมอัมมาร์ อาบู มินยาร์ อัล-กัดดาฟี? หรือ โมอัมมาร์ กัดดาฟี นับเป็นการสุดสิ้นการปกครองแบบอำนาจนิยมภายใต้ยุคกัดดาฟีที่ยาวนานถึง 42 ปี พร้อมกับการก้าวขึ้นมา ของสภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติ (National Transitional Council) หรือ NTC ที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติ ตะวันตกหลายประเทศ ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลชั่วคราวในการดูแลความสงบเรียบร้อย เตรียมประเทศไปสู่การเลือกตั้งและการจัดทำรัฐธรรมนูญ

?

เป้าหมายสำคัญของ NTC คือ การนำประเทศไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย ดังคำกล่าวของรอง ประธานสภาฯ นายอับดุล ฮาฟิซ โกกา (Abdel Hafiz Ghoga) ?ชาวลิเบียทั้งหมด ต้องการประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ไม่ใช่ของจอมเผด็จการ หรือลัทธิชนเผ่านิยม และไม่ตั้งอยู่บนความรุนแรงหรือการก่อการร้าย?

แม้การสนับสนุนการปกครองแบบประชาธิปไตยจะเป็นสูตรสำเร็จของชาติตะวันตก ด้วยความเชื่อว่าเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุด แต่ในกรณีของลิเบีย พบว่าเส้นทางประชาธิปไตยล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรค

: ลิเบียไม่เคยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมาก่อน

ชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศลิเบียปัจจุบันก่อเกิดและดำรงมายาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนคริสตกาลคนเหล่านี้ถูกปกครองด้วยจักรวรรดิโรมเป็นเวลา 500 ปี ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 อาหรับเริ่มเข้ามาในบริเวณดังกล่าวทำให้ชาวลิเบียในปัจจุบันพูดภาษาอาหรับและนับถือศาสนาอิสลาม ลิเบียเคยเป็นอาณานิคมของชาติยุโรปในยุคล่าอาณานิคม เมื่อได้รับเอกราชประเทศปกครองด้วยระบอบกษัตริย์เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ก่อนจะถึงการปกครองภายใต้ยุค กัดดาฟี

ลิเบียจึงอยู่ภายใต้การปกครอบแบบอำนาจนิยมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นลัทธิชนเผ่านิยม (Tribalism) เป็นอาณานิคม ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และระบอบอำนาจนิยมของกัดดาฟี แต่ไม่เคยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยมาก่อน ข้อนี้เป็นอุปสรรคสำคัญประการแรก

: ประชาชนอาจไม่ยอมรับการปกครองแบบประชาธิปไตย

การมุ่งเป้าเพื่อให้ลิเบียปกครองแบบประชาธิปไตยอาจเป็นความหวังของชาติตะวันตก แต่ประชาชนชาวลิเบียอาจคิดเห็นแตกต่างเนื่องจากการที่ไม่รู้จักประชาธิปไตยมาก่อน บวกกับความเคยชินกับสังคมที่ปกครองด้วยอำนาจนิยมอย่างยาวนาน ประชาชนอาจต้องการสังคมที่อยู่ภายใต้การจัดระเบียบแบบ อำนาจนิยมในรูปแบบที่ชาวลิเบียส่วนใหญ่ยอมรับ ดังนั้น หากความพยายามที่จะทำให้ลิเบียเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกขัดแย้งกับความต้องการของสังคมลิเบีย ผลที่จะตามมา คือ ประชาชนลิเบียจะเป็นผู้ขัดขวางความพยายามดังกล่าวเสียเอง แม้ในเวลานี้ยังไม่สามารถประเมินความเสี่ยงและความสูญเสีย อันเนื่องจากผลของความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น ตามมาได้

การพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ต้องอาศัยเวลาอีกนาน ฉากทัศน์ หนึ่งที่อาจเป็นไปได้ คือ ประเทศลิเบียได้ชื่อว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ เนื้อแท้ยังเป็นอำนาจนิยมรูปแบบหนึ่ง

: สังคมแบ่งแยกอย่างรุนแรง

ลิเบียเป็นสังคมที่ยึดมั่นในสังคมชนเผ่า แบ่งแยกตามชนเผ่า แบ่งแยกตามภาคหรือภูมิศาสตร์เป็น Cyrenaica, Fezzan และ Tripolitania และแม้ตลอด 40 กว่าปี ที่กัดดาฟีปกครองแบบรวบอำนาจ ไม่ได้ทำให้สังคมลิเบียผนวกรวมเป็นชาติเดียวกัน ตรงกันข้าม ยังคงแบ่งแยกอย่างฝังรากลึก ขาดจิตสำนึกในความเป็นชาติ เป็นเชื้อชาติเดียวกันและการมีเป้าหมายร่วมกัน ประชาชนรู้สึกแปลกแยกจากการปกครอง ไม่คิดว่านโยบายของรัฐมีผลอะไรมากมาย กับตนเอง ไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมทาง การเมืองหรือมีส่วนร่วมน้อยที่สุดเท่าที่ จำเป็น

การแบ่งแยกอย่างฝังรากลึก สังคมที่ไม่เป็นเอกภาพ ขาดสำนึกความเป็นชาติเดียวกัน เป็นอุปสรรคสำคัญของเส้นทางสู่ประชาธิปไตย การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจปกครองในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นการปะทะด้วยอาวุธระหว่างกองกำลังของ NTC กับกลุ่มติดอาวุธท้องถิ่นเมื่อไม่นานนี้ เป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจของเจ้าหน้าที่ส่วนกลางที่เข้ามาดูแลท้องถิ่น เพราะกลัวว่าอำนาจของชนเผ่าท้องถิ่นจะสูญเสียไป กลุ่มคนท้องถิ่นจึงใช้กำลังเข้ายึดพื้นที่ท้องถิ่นของตนก่อน เพื่อจะได้มีสิทธิมีเสียงในรัฐบาลกลางที่จะเกิดขึ้นอนาคต

ประวัติศาสตร์พัฒนาการเป็นประชาธิปไตยของชาติตะวันตกใช้เวลานานนับร้อยปี ผ่านการต่อสู้การเสียเลือดเนื้อ เป็นจำนวนมาก ที่สำคัญ คือ สังคมผ่านการพัฒนาทางความคิด เห็นร่วมกันว่าสิ่งใด คือ สิ่งดีที่สุดสำหรับสังคมของตน แต่ถึงกระนั้นพัฒนาการของแต่ละสังคมแตก ต่างกัน

คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ทุกประเทศทุกสังคมควรพัฒนาไปสู่รูปแบบเดียวกัน ทั้งหมดหรือไม่ นิยามคำว่า ดีที่สุด ควร แตกต่างกันตามภูมิหลังประวัติศาสตร์ อุดมการณ์ของสังคมและความเชื่อที่ยึดถือหรือไม่

ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังก่อเกิดในลิเบียเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งแก่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคตะวันออกกลางนี้ ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า ลิเบียเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันแบบ แตกต่างแต่ไม่แตกแยก ได้มากน้อยเพียงใด

“การแบ่งแยกอย่างฝังรากลึกสังคมที่ไม่เป็นเอกภาพขาดสำนึกความเป็นชาติเดียวกันเป็นอุปสรรคสำคัญของเส้นทางสู่ประชาธิปไตย”

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, http://www.kriengsak.com